บันทึกสุดท้ายจาก ศัลยเเพทย์เศรษฐีร้อยล้าน ในจุดสูงสุดของชีวิต กลับพบว่า "เงินไม่ได้มีความหมาย"

LIEKR:

อนิจจัง...ทุกขัง....อนัตตา ชีวิตมันสั้นนัก

"เมื่อเราเรียนรู้ที่จะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร"

        "นพ.ริชาร์ด เตียว" (Dr. Richard Teo) ศัลยแพทย์เสริมความงามชื่อดัง ชาวสิงคโปร์ มหาเศรษฐีร้อยล้าน ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ท่านได้บรรยายประวัติชีวิตของตนเอง นับจากจุดเริ่มต้น จนถึงก้าวสุดท้าย ที่หลุดออกมาจากวงจรของการใช้ชีวิตที่อันตรายได้  ก่อนที่เขาจะจากไปด้วยวัยเพียง 40 ปี ขอนำข้อความที่ประทับใจมาเตือนสติทุกคน

        ภูมิหลัง

        "...สวัสดีครับทุกท่าน ได้โปรดอดทนกับเสียงแหบๆ ของผมซึ่งเป็นผลมาจากการให้ ยาคีโมรักษา โรคมะเร็ง ของผมนะครับ ผมอยากเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ว่า ผมเป็นแบบฉบับของผลผลิตของสังคมทุกวันนี้ ซึ่งถูกครอบงำด้วยอิทธิพลจากสื่อ ที่สร้างอิทธิพลและความประทับใจให้แก่ผมตั้งแต่เด็กว่า “การมีความสุข คือการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ และการที่จะประสบความสำเร็จได้ หมายถึงการเป็นคนที่ร่ำรวยมั่งคั่ง”

        ชีวิตของผมจึงดำเนินไปตามคติพจน์ที่ว่านี้มาตลอด สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนที่ชอบการแข่งขันในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องกีฬา, เรื่องการเรียน หรือเรื่องการเป็นผู้นำ ผมได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้วทั้งหมด เหลือแต่เรื่องสุดท้าย ก็คือเรื่องของเงินทอง ดังนั้นผมทนเห็นเพื่อนๆ ของผมที่ทำงานเอกชน พากันร่ำรวย ทำเงินได้มากมายมหาศาลไม่ไหว ผมจึงพูดกับตัวเองว่า “พอกันที สำหรับการฝึกอบรมเป็นจักษุแพทย์ที่เสียเวลานานมากเกินไปแล้ว”

        ในเวลานั้น เป็นยุคที่การแพทย์เวชกรรมเสริมความงามกำลังเฟื่องฟูสุดขีด และผมเห็นเป็นโอกาสทองที่จะทำเงินได้มาก มากจนผมคิดว่า จงลืมเรื่องการฝึกเป็นจักษุแพทย์ไปเสียเถอะ ผมจะเป็นหมอเสริมความงามดีกว่า ผมพบสัจธรรมที่ว่า ไม่มีใครร่ำรวยจากการหากินกับคนจน แต่เขาร่ำรวยจากการหากินกับพวกดารา, นักการเมือง, มหาเศรษฐี และคนดังที่มีชื่อเสียงต่างหาก เพราะคนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแพง เมื่อต้องจ่ายเงินสัก 750 บาทเป็นค่ารักษาโรค ทั่วไป แต่กลับเต็มใจที่จะควักเงิน 250,000 บาทสำหรับเป็นค่าดูดไขมันเสริมความงาม

        ผมจึงมุ่งไปสู่ธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว เลิกรักษาคนป่วย ทั่วไป แล้วไปเป็นแพทย์เสริมความงามแทน และมันก็ทำเงินให้ผมมาก คลินิกของผมจึงเริ่มต้นโตขึ้น จนล้นแล้วล้นอีก ต้องจ้างแพทย์เพิ่มไม่เคยเพียงพอ เช่นเดียวกับความต้องการของผมก็ไม่เคยพอเพียงเช่นกัน ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี นี่เป็นโอกาสทองของผมจริงๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ผมจึงถอยรถเฟอรรารี่คันแรกของผมออกมา เนื่องจากผมมีเงินเหลือเก็บมากมาย ผมจึงหาลู่ทางลงทุนอย่างอื่นต่อ ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ทำเงินได้ปีละกว่า 125 ล้านบาท ผมมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์

ภาพประกอบบทความ

        ผลการวินิจฉัย

        ในเดือนมีนาคมปี 2011 โดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ผมยังสาละวนอยู่กับการออกกำลังกาย ผมเกิดมีอาการเจ็บสันหลังที่ไม่ยอมหาย หมอก็ตรวจพบว่า กระดูกไขสันหลังครึ่งหนึ่งของผม ถูกแทนที่ด้วยเซลล์มะเร็งไปหมดแล้ว วันต่อมา หมอก็ให้การวินิจฉัยว่า ผมเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้ายมะเร็งได้กระจายไปทั่วสมอง, ไขสันหลังครึ่งหนึ่ง, ปอดทั้งสองข้าง, ตับ ,และต่อมหมวกไต, ฯลฯ ของผมแล้ว

        ผมบอกกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนนี้ ผมยังออกกำลังกายอยู่ในห้องยิมเลย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นนี่ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้ได้ว่าผมมีความรู้สึกอย่างไร ขณะหนึ่ง ชีวิตของผมกำลังก้าวไปถึงจุดสุดยอดแลัว พอข้ามวัน กลับมีข่าวร้ายมาแทนที่ และทำให้ชีวิตของผมทั้งหมดพังทลายลง ผมยอมรับไม่ได้ ผมมีญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่ร่วมร้อยคน และไม่มีใครเลยสักคนที่เป็นโรคมะเร็ง ในความคิดของผมแล้ว ผมมีพันธุกรรมที่ดี ผมไม่สมควรจะได้รับสิ่งนี้ แล้วทำไมจะต้องเป็นผม

        เหตุการณ์ต่อมา

        ผมได้รับการเตรียมตัวเพื่อรับคีโมรักษามะเร็งเริ่มต้นด้วยการฉายรังสีรักษาทั่วสมอง ผมถามหมอว่า ผมจะมีชีวิตไปได้อีกนานเท่าไร หมอบอกว่า “ไม่เกินหกเดือน” ผมก็ยังคงหวังว่า นี่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เมื่อผมตื่นขึ้น ทุกอย่างก็จะจบเอง วันแล้ววันเล่า ขณะที่ผมต้องดิ้นรนต่อสู้กับโรคร้าย ผมเกิดอาการซึมเศร้าตามมา

        เขาบอกว่ามันเป็น “เสียงภายใน” ที่กระตุ้นให้เขาคิดทบทวนเรื่องความสุขของเขาและก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ดร.ริชาร์ดได้ปฏิรูปแนวคิดเรื่องความสุข “ทุกสิ่งเหล่านี้ที่ผมมี ความสำเร็จ ถ้วยรางวัล รถยนต์ บ้านและทุกๆ อย่าง ผมคิดว่าพวกเขาจะนำพาความสุขมาให้ แต่ด้วยความคิดทั้งหมดของการครอบครองพวกเขาไม่ได้ทำให้ผมไม่มีความสุข ฉันกอดเฟอร์รารีไปนอนด้วยไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา คือการมีสัมพันธ์กับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ คนที่ดูแลผมอย่างแท้จริง พวกเขาหัวเราะและร้องไห้ไปกับผม และพวกเขาสามารถบอกความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานที่ผมกำลังประสบอยู่”

        ผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่าถ้ากลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วย เหล่านั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้จากของจริง สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม

        เป็นที่รู้กันว่ามะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิต สูงสุดเทียบกับมะเร็งอื่นๆ แต่ด้วยกำลังใจอย่างแรงกล้าโดยเพื่อนของผม และพี่น้องอีกหลายคนที่ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ผลการตรวจกลับมาขณะที่ผมกำลังรอการให้คีโมบำบัดอยู่ ว่า ผมมียีนส์ EGFR positive ซึ่งมันเป็นข่าวดี เพราะผมสามารถกินย า เม็ดรักษาโรคมะเร็งได้ จนเซลล์มะเร็ง ยุบหายไปมากกว่า 90% ในอีกหลายเดือนต่อมา

        การได้รับการยอมรับและสันติสุข

        ตลอดหลายเดือนหลังๆ นี้ ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร ในอดีต ผมแสวงหาความสุขด้วยการไขว่คว้าหาความร่ำรวย เพราะคิดว่ามันจะทำให้ผมมีความสุข แต่เมื่อผมนอนรอความตาย อยู่บนเตียงนั้น ผมกลับไม่พบความสุขเลยในบรรดาสิ่งของวัตถุทั้งหลายที่ผมครอบครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรถเฟอรรารี่, ที่ดินที่ผมกำลังซื้อเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ หรือแม้แต่การประสบความสำเร็จในธุรกิจ ก็ไม่ได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้ผมเลยแม้แต่น้อย ความสุขที่แท้จริงกลับมาจากความสัมพันธ์กับผู้อื่น

        บ่อยครั้งในอดีต ผมเคยคิดว่าการแสวงหาความมั่งคั่ง และการอวดร่ำอวดรวย โดยการขับรถเฟอรรารี่คันงามของผมไปให้ญาติๆ และเพื่อนของผมได้ชื่นชม จะนำความสุขมาให้ผมและคนอื่นๆ ที่จะได้ร่วมแสดงความยินดีร่วมกับผม แต่มันกลับเป็นความภาคภูมิใจชั่วครู่ที่ฉาบฉวย รังแต่จะสร้างความอิจฉาริษยา และทำให้ผู้อื่นชิงชัง ในตัวผมมากยิ่งขึ้น นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

        ผมยังได้พบอีกว่า การยื่นมือไปช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่เขาตกทุกข์ยาก เป็นสิ่งที่นำรอยยิ้มและความสุขที่แท้จริงมาสู่ผู้คน เพราะผมได้ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากเช่นนี้มาแล้วด้วยตัวเอง และรู้ซึ้งว่ามันเป็นเช่นไร ไม่เหมือนคนอื่นที่ไม่เคยเป็นมะเร็ง แล้วคอยบอกผู้ป่วย ที่เป็นโรคมะเร็งว่า “คุณต้องมีความคิดบวกเข้าไว้, ต้องมองโลกในแง่ที่ดีซิ” ถ้าลองคุณมาเป็นโรคมะเร็ง เองบ้าง คุณจะยังมีความคิดในแง่บวกได้อีกไหม แต่สำหรับผม ผมสามารถพูดหนุนใจผู้อื่นได้อย่างเต็มปาก เพราะผมมีใบรับรองของการเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งมาแล้ว

        กล่าวโดยสรุป

        ผมอยากพูดว่า ยิ่งคุณจัดลำดับความสำคัญของชีวิตคุณได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับชีวิตของคุณมากเท่านั้น อย่าเป็นอย่างผมที่ กว่าจะรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ ก็ต้องผ่านความทุกข์ยากแสนสาหัส แต่ก็รอดตายมาได้ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ก็คือ

        - จงรักเพื่อนบ้านและรับใช้ผู้อื่น มิใช่แต่ตัวเอง

        - การเป็นคนร่ำรวย หรือมั่งคั่ง ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ปัญหาของมันก็คือ คนส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถควบคุมมันได้ ยิ่งเรามีมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นอีก ในฐานะที่เราทำวิชาชีพแพทย์ เรามักจะหลีกเลี่ยงการสร้างฐานะความมั่งคั่งให้กับตัวเองเมื่อมีโอกาสไม่ได้ แต่เราต้องจดจำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติแท้จริงของเรา

        เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร 

        อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่าให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย (Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู่สุขคติ)

        คำพยานของ นพ.ริชาร์ด เตียว (Dr. Richard Teo ) แปลโดย นพ.ประสิทธิ์ เอี่ยมสุรีย์

ชมคลิป

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิก <<<

ข้อมูลและภาพจาก mthai