เปิดใจ "ปุ๊ ปิยะมาศ" ย้อนถึง "รักแรกและรักเดียว" แต่ถูกต้องห้าม เพราะคำว่าเป็นดารา !

LIEKR:

ยังดูสาวอยู่เลยค่ะ

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

   คร่ำหวอดอยู่ในวงการมาหลายปี สำหรับ นักแสดงรุ่นใหญ่ ปุ๊ ปิยะมาศ ที่ล่าสุดเจ้าตัวได้มาเปิดใจถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งความรัก รวมไปถึงท่าเซ็กซี่ในตำนาน อย่าง สะพานโค้ง 

ฉายานางเอกตลกร้อยล้าน ได้มาได้ยังไง ?

    “คือว่าตอนที่เข้ามาวงการใหม่ๆ เมื่อปี 2514 ก็มาเล่นบทชีวิตก่อน ก็โด่งดัง คือเรื่องขัง 8 เป็นเรื่องแรก หลังจากนั้นก็เล่นบทชีวิตมาตลอด เล่นมาได้สักพัก ก็อยากทำหนังเป็นผู้สร้างเอง ตอนนั้นผู้อำนวยการสร้างเป็นเราแล้วผู้กำกับก็เป็นสามี ตอนนั้นขายหนังตลก หนังครอบครัว ตอนหลังเราก็มาเป็นนางเอกเองเพราะสมัยก่อนไม่มีนางเอกตลก พอทำออกมา แต่ละเรื่องก็ได้เป็น 10 ล้านเลยค่ะ แล้วฉายานางเอกตลกร้อยล้านนักข่าวเขาให้มา”

เรื่องที่ดังแล้วคนจำได้จนถึงทุกวันนี้ คือเรื่องอะไร ?

    “อย่างที่บอกว่าตั้งแต่เรื่องแรกอันนั้นจะเป็นแฟนสมัยเก่าๆ แต่ถ้าแฟนสมัยกลางๆ หน่อยก็จะเป็น มาดามยี่หุบ แล้วก็ นางสาวเย็นฤดี จริงๆ เราก็เล่นได้ทุกอย่างนะ ตั้งแต่บู๊ล้างผลาญ วิ่งข้าม 3 เขา เตะ ต่อย วิ่งหนีระเบิดอะไรก็ทำได้หมด เป็นนักแสดงมันต้องทำได้หมดค่ะ”

สมัยก่อนดาราห้ามมีแฟน เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

    “ก่อนช่วงปี 2520 แต่ก่อนนั้นลงไป ตอนเราเข้าวงการใหม่ๆ ในยุคนั้นนักแสดง จะมีแฟนไม่ได้ เพราะว่าคนดูเขามีความรู้สึกว่า เขาเป็นเจ้าของนักแสดง ใครจะมาแตะต้องไม่ได้ ฉันรักของฉันอะไรแบบนี้ ถ้ามีแฟนเมื่อไหร่คือตกทันที ไม่ชอบไม่ได้เลย เขาจะโกรธมาก”

พูดถึงประเด็น “รักต้องห้าม” จนต้องแอบหนีไปแต่งงานต่างจังหวัดหน่อย ?

    “อย่างที่บอกว่าดาราห้ามมีแฟนพอมาถึงยุคเรา คือต้องบอกว่าเราเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง คิดว่าเราทำเราไม่ผิด เราไม่ได้ไปขโมยสามีใครมา แล้วเขาก็ไม่ได้ขโมยเรามาจากใคร ถ้าจะให้เราเลือก ระหว่างการแสดงที่มีเงินให้เราเป็นล้านๆ กับการที่เรามีครอบครัวที่อบอุ่น ตอนนั้นเราคิดว่าเราเลือกครอบครัว เพราะเราคิดว่าคนคนนี้เป็นคนที่เราเลือกแล้ว แล้วสามารถที่จะนำพาเราไปข้างหน้าได้อย่างดี เพราะฉะนั้นเราก็ค่อนข้างดื้อ"

    "แล้วสมัยนั้นจะมีการเซ็นสัญญากับต้นสังกัดนางเอกจะทำอะไรไม่ได้เลย ต้นสังกัดจะดูแลแบบไข่ในหินมาก ก็เลยต้องแอบมีแฟน ตอนแรกเราไม่ชอบนะ เกลียดเขาด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็มาแพ้ความดีเขาเพราะเขาดูแลเราดีมาก เราถ่ายละครเสร็จตี 3 เขาก็มารอรับไปส่งบ้าน 

    ไปต่างจังหวัดก็ไปขับรถให้ ตอนนั้นเราก็รู้สึกอบอุ่น ตกหลุมรัก สุดท้ายก็แอบหนีไปแต่งงานกันต่างจังหวัด คิดว่าในเมื่อมันเรื่องมากนัก ก็แต่งงานกันซะเลย”

แต่น่าเศร้าที่สุดท้ายก็ต้องแยกทางกัน อยู่ด้วยกันมากี่ปี ?

    “ก็อยู่กัน 20 ปีได้ ช่วยกันทำงาน สร้างชื่อเสียงมาด้วยกัน คือสมัยก่อนตอนที่เราทำงานอยู่ด้วยกัน ก็เป็นนางเอกด้วย แล้วเขาก็เป็นผู้อำนวยการสร้าง เราสร้างหนังกันเอง หลายๆ คนจะรู้จัก กำธร ปิยะมาศ กลายเป็นชื่อกับนามสกุลไปเลย แล้วก็ไม่มีใครคิดว่าเราจะแยกทางกัน อยู่ๆ วันหนึ่ง คือมันก็มีปัญหาว่า คือเราไม่โทษใครมันเป็นเรื่องที่อาจจะพลาดกันได้ เขาก็มีครอบครัวใหม่อีกครอบครัวหนึ่ง ก็เลยเลิกกัน แยกกันอยู่ เวลาไปถ่ายละครก็ต่างคนต่างไป แล้วก็ไม่ได้บอกใครว่าเรามีปัญหากัน หลังจากนั้นก็กลายเป็นที่สงสัย”

แล้วเรามารู้ตอนไหนว่า เขาไปมีครอบครัวใหม่ ?

    “คือคนเราสองคนอยู่ด้วยกันนานๆ แค่มองตากันก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรบ้างที่ผิดปกติไป อันนี้คือเรื่องจริง เพราะว่าอยู่กัน 20 ปี ลักษณะของอาการบางอย่างมันก็จะบอกได้เอง”

ตอนที่รู้ความจริงเสียใจขนาดไหน ?

    “ก็เสียใจนะ แต่มันก็แปลกที่ไม่ถึงกับโวยวายอะไรมาก ก็โอเค คือตอนที่อยู่แล้วยังไม่ตัดสินใจแยกกันมันก็ทรมาน เราก็ทรมานเวลาเขาก้าวออกจากบ้านไป เราก็ใจหาย รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ของของเราอีกแล้ว ทางนู้นเขาก็มีลูกด้วยกัน ลูกก็คอยพ่อ บ้านนู้นเขาก็คอยสามี เราถึงไม่โกรธเขามาก 

    เพราะว่าเราให้ในสิ่งที่เขาอยากจะมีไม่ได้ มันก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจแยกกัน วันนี้เราอาจจะเจ็บกันทุกคนแต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็อาจจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราอยู่กันอย่างนี้ไม่มีวันที่จะจบด้วยดีแน่ๆ”

สุดท้าย ก็ไม่ได้อยู่กับใคร เพราะเขาก็เสียไป แล้วตอนนั้นได้ไปดูแลไหม ?

    “ใช่ค่ะ เป็นมะเร็ง  ตอนนั้นก็ไปดูแล คือเวลาเราจะโกรธใคร เราต้องบอกความดีเขา อันนี้สำคัญ เราอย่ามองแต่ความไม่ดีของเขา ต้องมองความดีเขาแล้วทุกอย่างมันจะง่าย มันจะจบด้วยดี ก็ไปดูแลเขาจนเขาเสียชีวิตค่ะ เพราะครอบครัวใหม่เขาจะเด็กมาก จะทำอะไรไม่ค่อยเป็น เราก็ไปดูแลจัดการ จะรักษายังไงอะไรแบบนี้ แล้วเขาก็สั่งเสียว่า ช่วยดูแลงานศพให้ด้วย เพราะน้องเขายังเด็กมาก เราก็ดูแลจนกระทั่งเผาเสร็จอะไรเรียบร้อย”

นี่ถือเป็น “รักแรกและรักเดียว” เลยใช่ไหม ?

    “ถูกต้อง เพราะว่ายังไม่เคยมีแฟนมาก่อน แล้วก็ตั้งใจไว้เลยว่าจะไม่มีแฟน จะอยู่คนเดียว ตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือมาเลย นี่เป็นรักครั้งเดียว ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หลังจากเขาเสียไปเราก็ไม่มีใหม่เลย แต่ก็มีคนเข้ามานะ แต่มันไม่ใช่คนที่จะมาอยู่ใช้ชีวิตด้วยกัน หรือดูแลกัน ก็เลยอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ก็สบายดีนะ”

เรื่องถ่ายแบบเซ็กซี่ตำนานท่ายาก “สะพานโค้ง” มาถ่ายได้ยังไง ?

    “ตอนนั้นที่ถ่ายออกมาคอนเซปต์ของหนังสือคือ สร้างออกมาเพื่อให้เด็กๆ รุ่นใหม่ได้รู้ว่า การที่เราดูแลตัวเอง ไม่ประมาท มันจะทำให้เรามีชีวิตที่ดียังไง ถ้าสุขภาพดีชีวิตมันดีหมด เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เขาเห็นว่าเรามีดีแบบนี้เพราะเราดูแลสุขภาพ แล้วถ้าเราไม่เปิดให้เขาดู เขาจะรู้ไหมว่าคนอายุ 50 กว่าๆ ยังสามารถมีสิ่งที่ดีๆ ได้ โดยสารที่ต้องดูแลสุขภาพ เรื่องผิวพรรณ เรื่องอาหารการกิน เรื่องการออกกำลังกาย คือต้องพร้อมทุกอย่าง อย่าประมาท อย่าคิดว่าตัวเองดีแล้ว”

กระแสเป็นยังไงบ้าง ?

    “มีทั้งด่า ทั้งชื่นชม คละเคล้ากันไป แต่ก็ไม่ได้สนใจคนจะด่าอะไรก็ช่าง เพราะมีความเชื่อมั่นว่าเราพยายามนำเสนอในสิ่งที่ดีให้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ทำอย่างนี้ เขาจะมาดูไหม จะมาใส่ชุดไทยแล้วนั่งพับเพียบ บอกว่าคุณดีมาก คุณออกกำลังกาย มันก็ไม่ใช่ มันก็ต้องให้เขาเห็นแล้วให้เขาสนใจ มีจุดขาย ทำให้เขาอยากจะเปิดดูอยากจะรู้ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงยังดูดี ถ้าเขาเปิดเขาก็จะเห็นว่า การดูแลตัวเองเป็นยังไง กินยังไง ใช้อะไรบำรุงผิวพรรณ วิธีการออกกำลังกายทำยังไง ซึ่งในนั้นมันก็จะมีบอกหมด แล้วคุณจะด่าเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจนะ เพราะเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราต้องการมาสเตอร์พีซในชีวิตของเรา แล้วก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นค่ะ”

.

ชมคลิป

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<

ข้อมูลและภาพจาก คุยแซ่บShow