จากเด็กขายผักในตลาด ดิ้นรนช่วยที่บ้านทุกทาง อายุ 26 มีเงินร้อยกว่าล้าน

LIEKR:

แม้เจออุปสรรคมากมายขนาดไหน แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้

    ไม่เคยคิดจะรอโชคชะตาวาสนาเงินทอง หรือคาดหวังพึ่งพาชีวิตใคร เมื่อรู้ตัวเองดีว่า เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย เห็นพ่อแม่รับผลไม้จากสวนของคนอื่นพากันไปขายตามตลาดนัดต่างๆ ในอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ในทุกเช้า เวลาประมาณตี 5 พ่อกับแม่จะพากันตื่นนอน กลับมาอีกครั้งประมาณ 11.00 น. พักทานข้าวเพียง 1 ชม. ก็ออกไปขายของตลาดนัดช่วงบ่าย ช่วงเย็น ได้เจอหน้ากับลูกๆ อีกทีตอน 4 ทุ่ม ส่วนตัวเธอเองพยายามดิ้นรนช่วยที่บ้านทุกทาง เสาร์ - อาทิตย์ รับผักสดนั่งรถไปขายกับพ่อในเมืองภูเก็ต

 

Sponsored Ad

 

    กว่าที่เธอจะดิ้นรนมีพร้อมทุกอย่างเช่นวันนี้ เรียกได้ว่าต้องผ่านร้อนผ่านหนาว เจอกับเหตุการณ์ยิ่งกว่าในละคร หากทว่าเป็นบทเรียนสอนใจ สะท้อนมุมมองชีวิตผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้แจ่มแจ้งชัดเจน ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ กับการเสนอเรื่องราวชีวิตของ คุณขนิษฐา เพ็ญภักดี หรือ บี อายุ 26 ปี นักธุรกิจร้อยล้าน เริ่มต้นจากการเป็นแม่ค้าขายผักอายุเพียง 6-7 ขวบ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานของตัวเองขึ้นมาเรียนต่อกรุงเทพฯ เพราะประสบปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิพัดพังถล่มพังงา เมื่อปี 2547 จากแม่ค้าขายผักวัยประถม สู่แม่ค้าออนไลน์ในเมืองหลวง

 

Sponsored Ad

 

ขายผักตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ

    "ครอบครัวบีเป็นชาวอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา บีมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน บีจะเป็นคนสุดท้อง พวกเราโตมาท่ามกลางครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย อาศัยอยู่ในบ้านพื้นปูนชั้นเดียว บ้านไม่มีห้องนอนแยก ไม่มีประตู มีเพียงเตียงนอนและข้าวของเครื่องใช้ ส่วนห้องน้ำมุงสังกะสีแยกออกจากตัวบ้าน เวลาอาบน้ำ หรือทำธุระในห้องน้ำต้องเดินออกไปจากตัวบ้าน ตอนเด็กๆ สมัยนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าความลำบากเป็นอย่างไร เพราะเราเคยชินกับชีวิต รู้เพียงว่าวันไหนไม่ได้ไปเรียน ต้องไปรับผักมาขายในตลาดกับพ่อแม่ ซึ่งก็ขายดีมากและขายหมดทุกครั้ง บางวันก็ไปขายช่วงหลังเลิกเรียน ได้เงินมาฝากออมทรัพย์กับทางโรงเรียนและใช้อย่างประหยัดมากๆ เพราะเราอยากมีเงินเยอะ"

 

Sponsored Ad

 

พี่ชายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข ลำบากแบกของไปขายในตลาดด้วยกันมา

    เธอเรียนชั้นประถมในโรงเรียนเล็กๆ มีเพื่อนร่วมห้องเพียง 6-7 คน ชีวิตประจำวันคือตื่นเช้าไปโรงเรียน ตกเย็นกลับบ้าน รอเจอหน้าพ่อแม่ตอน 4 ทุ่มหลังทั้ง 2 คน กลับจากขายผัก ซึ่งรายได้แต่ละวันก็พอประทังคนในครอบครัว กระทั่งตัวเธอเองเรียนจบชั้น ป.6 จึงตัดสินใจมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับพี่ชายในกรุงเทพมหานคร

    "ตอนนั้นพี่ชายบี อยู่กรุงเทพฯ มาเรียน ป.ตรี ที่รามคำแหง เรียนจบก็ทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว เค้าก็ต้องทำงานทุกอย่างเหมือนกันนะ เค้าก็เหนื่อยเพราะต้นทุนชีวิตเราไม่สูงมาก กระทั่งบีตัดสินใจไปอยู่กับพี่ชายและเรียนต่อ ม.1 ในกรุงเทพฯ ย่านบางกะปิ ตอนนั้นเริ่มมองหาธุรกิจที่ได้เงิน เลยตัดสินใจหาของมาขายเกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมทาผิว อาหารผิว เอาที่เพื่อนๆ ในห้องเราก็นิยมใช้กัน พยายามหาที่ต้นทุนต่ำกว่าร้านอื่นๆ เพื่อที่เพื่อนจะได้หันมาอุดหนุน ส่วนเงินทุนก็เอามาจากการขายผักตั้งแต่ ป.1 รับจ้างไปรำ รับจ้างทั่วไปงานหนักเบาเอาหมด 6ปี เก็บได้นับแสนบาท ถือว่าเยอะมากสำหรับบี"

 

Sponsored Ad

 

รับงานเป็น MC พริตตี้ - เปิดร้านอาหาร

    ช่วงที่เรียน ม.1- ม.5 นอกจากจะขายของก็ทำงานเก็บเงินมาตลอด ไม่เคยเกี่ยงงานเลย ตรงไหนที่เป็นงานสุจริต MC พิธีกร หรืองานจ้างต่างๆ ระหว่างนั้นยอมรับว่าเก็บเงินได้เยอะมาก กระทั่งอายุ 17 ปี เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว เพราะมันเสียเวลาหาเงิน จึงตัดสินใจออกมาเปิดร้านอาหารกึ่งผับแถวลาดพร้าวโดยมีพี่ชายเป็นเจ้าของร้าน 

    "ไม่รู้ว่าคิดถูกรึเปล่านะ แต่คิดแบบนั้นจริงๆ ว่าอยากหาเงินมากกว่า หากเราไปใช้เวลาเรียนทั้งชีวิตกว่าจะจบมหาวิทยาลัย เงินเราคงหมดไปกับการเรียนหนังสือ เลยคิดว่าตั้งใจจะซื้อบ้านซื้อรถ อยากมีบ้านเหมือนคนอื่นเค้าบ้าง จากนั้นจึงตัดสินใจออกจากโรงเรียน และมาเปิดร้านอาหารกึ่งผับย่านลาดพร้าว ดีตรงที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าเพราะรู้จักกับเจ้าของที่ เงินเก็บมาจากการขายของ รับจ้างเป็นพิธีกร เราก็นำมาลงทุน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะได้กำไรหลักล้าน จากนั้นเราเริ่มมองตัวเองแล้วรู้สึกว่ารับไม่ไหว เพราะต้องนอนดึก ต้องดื่มเหล้ากับลูกค้าบ้าง ถ้าบอกว่าไม่ดื่มเลยคงไม่ใช่แน่ๆและกลายเป็นเรื่องที่โกหก เราเป็นเจ้าของร้านก็ช่วยพี่ชายดูแลลูกค้าเดินเก็บเงินตามโต๊ะ กลายเป็นว่าสุดท้ายป่วยหนักแล้วก็เข้าโรงพยาบาลรักษาตัว ซึ่งตอนนั้นโทรมมากๆ จึงตัดสินใจเซ้งร้าน"

 

Sponsored Ad

 

    หลังจากออกโรงพยาบาลพยายามดูแลตัวเองให้ดีขึ้น อะไรที่ว่าดีก็จะกินบำรุงทุกอย่าง ทำให้ตัวเองผอมลงและขาวขึ้น คนรู้จักรอบข้างสนใจถามว่าเราไปทำไรมา จึงติดต่อขอซื้อกันเยอะมาก จึงตัดสินใจไปเช่าแผงขายสินค้าในตลาดเมเจอร์รัชโยธิน

เปิดร้านขายของในตลาดเมเจอร์รัชโยธิน

 

Sponsored Ad

 

    "อะไรที่เกี่ยวกับความสวยความงาม หรือเป็นสินค้าที่ใช้แล้วได้ผล ก็จะเอามาวางขาย เรียกได้ว่าเป็นช่วงกอบโกยเงินอีกช่วงหนึ่งในชีวิต เพราะว่าเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่เปิดขาย ลูกค้ามาซื้อนาทีต่อนาที ลองเช็กดู ช่วงพีคสุดคือนาทีละ 1 พันบาท นับเป็นนาทีเลยค่ะ ต่อจากนั้นก็ตัดสินใจทำแบรนด์เป็นของตัวเอง แบรนด์ที่ทำก็สบู่ ครีมทาผิว ฯลฯ ในทีแรกจะสั่งของจากโรงงานก่อน จากนั้นก็เริ่มเก็บเงินเปิดโรงงานเป็นของตัวเอง เริ่มจากเปิดโรงงานไม่ใหญ่มาก เก็บเงินทำมาเรื่อยๆ ส่วนของที่ตลาดเมเจอร์ก็ยังขายปกติ"

Sponsored Ad

    จากจุดนี้เองสามารถเก็บเงินได้นับ 10 ล้านบาท จากนั้นก็เริ่มซื้อบ้านซื้อรถ บ้านใหม่ราคา 5 ล้านกว่า ส่วนรถยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ตอนนั้นชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ส่วนพี่ชายก็มารับของไปขายด้วย เรียกว่าช่วยกันหาเงินสร้างรายได้เก็บไปให้พ่อแม่ และสร้างบ้านให้พ่อแม่ใหม่ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จนท้ายที่สุดมีเรื่องให้ชีวิตต้องพลิกผันสะดุดล้มลงกลางคัน เพราะไฟไหม้บ้านหลังที่ซื้อ เพลิงได้เผาร่างเธอจนแทบเอาชีวิตไม่รอด

แก๊สห้องครัวรั่ว ทำให้เกิดเหตุไฟไหม้ ท้ายที่สุดเผาร่างทุรนทุราย

    แก๊สหุงต้มเกิดรั่วไหลเปลวไฟลุกโชนเผาผลาญผิวหนังใบหน้าและเรือนร่าง ตัวเธอเองถูกส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยอาการที่วิกฤติ ทีมแพทย์เร่งเยียวยากระทั่งพ้นขีดอันตราย แต่สุดท้ายแล้วสาวรักสวยรักงามอย่างเธอต้องเสียโฉมจนแทบจะกลายเป็นคนละคน ธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางที่เคยรุ่งกลับต้องหยุดชะงัก เงินทองเป็นกอบเป็นกำที่เก็บได้จากน้ำพักน้ำแรงต้องร่อยหรอ ถูกนำไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล กว่า 6 เดือน ที่เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวเองได้ ความท้อถอยบั่นทอนจิตใจถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนร่างเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้

    "จำได้ว่าบ้านที่ซื้อใหม่ด้วยน้ำพักน้ำแรงต้องถูกเพลิงเผา แต่โชคดีมีคนเข้ามาช่วยดับไฟ ส่วนตัวบีเองพยายามตะเกียจตะกายออกมาขับรถไปโรงพยาบาล ในทีแรกไม่รู้สึกตัวว่าหนักหนาอะไร แต่พอขับไปเรื่อยๆ น้ำไหลออกจนหมดตัว ถึงโรงพยาบาลต้องสลบไม่รู้สึกตัว บีไม่อยากจะเชื่อว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง นอกจากความทุกข์ของตัวเองที่แอบเก็บไว้แล้ว ยังทำให้คนรอบข้างเสียขวัญกำลังใจและท้อถอยไปด้วย พยายามบอกตัวเองให้สู้ ให้ก้าวเดินต่อ ล้มแล้วต้องลุกขึ้นให้เร็ว เพราะมีคนข้างหลังที่ต้องดูแล ต้องสู้เพื่อครอบครัว สู้เพื่อตัวเอง ทำทุกอย่างให้หลุดพ้นจากสภาพจิตใจและสถานภาพทางการเงินที่กำลังประสบอยู่"

    ในระยะเวลาที่ "คุณบี" นอนพักรักษาตัวไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ ขณะที่จิตใจของเธอเริ่มฮึดขึ้นสู้อีกครั้ง เธอได้ผุดไอเดียผลิตสินค้าตัวใหม่ สบู่ระเบิดขี้ไคลเจ้าแรกในไทยเริ่มทำการตลาดหาช่องทางการค้าขายจับธุรกิจตลาดออนไลน์เปิดการขายในโซเชียลเน็ตเวิร์ก

ร้านขายของเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ตลาดเมเจอร์

    ด้วยความที่คิดถึงแต่ความลำบากใรอดีต อยากจะหาอะไรที่ได้เงินทำเพื่อครอบครัว ประกอบกับสภาพจิตใจที่ฮึดสู้ จึงตั้งหลักใหม่โดยการเริ่มเปิดบริษัท "munwork production" ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ โดยมีพี่ชายแท้ๆ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เล็ก นั่นคือ "พี่บอย ธวัชชัย เพ็ญภักดี" เดินฝ่ามรสุมลูกใหญ่ด้วย สบู่ระเบิดขี้ไคลทำยอดขายทะลุ 5 ล้านก้อน ถือว่าประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยมีมา

รักษาตัวจนหายดี เดินหน้าเปิดโรงงานใหญ่ มูลค่า 150 ล้านบาท

    เวลาที่ผ่านไปกว่า 2 ปีเต็ม ผลจากการดูแลรักษาตัวเอง ทำให้บาดแผลไฟไหม้ถูกรักษาให้หายจนเกือบจะ 100% อาจทิ้งรอยแผลเป็นบางจุดไว้บ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะปัจจุบันกลับมาสวยและใช้ชีวิตปกติได้ตามเดิม 

    "ให้กำลังใจทุกๆ คนที่ต้องเจอกับปัญหาหนักๆ อยากจะบอกว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ อยากให้ทุกคนสู้เพื่อตัวเองและครอบครัว และปัจจุบันล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ จนคิดว่าปัญหาทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือน่าหนักใจใดๆ และเดินมาสู่จุดประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เพราะสามารถมีโรงงานระดับมารตฐานสากล ผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพหลายชนิด ซึ่งเป็นเงินน้ำพักน้ำแรงจากการขายของ ดิ้นรนด้วยตัวเอง ไม่เคยไปโกงกินหรือขอใครเค้ามา รวมไปถึงทำตามกระบวนการของกฎหมายทุกขั้นตอน ถึงแม้ว่าจะมีหนี้สินที่ต้องชำระ แต่ก็เป็นธรรมดาของคนทำธุรกิจ ที่สำคัญเราเพิ่งอายุ 26 ปี ตั้งใจไว้ว่าจะทำทุกๆ อย่างให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี ไม่ว่าจะชีวิตตัวเอง คนรอบข้างหรือกิจการต่างๆ ค่ะ" 

สภาพโดนไฟไหม้ทั้งตัว

พ่อแม่ภูมิใจ เราเป็นเสาหลักของครอบครัว  

    ถึงแม้ว่าพ่อแม่บีจะไม่ใช่คนร่ำรวยมีฐานะ หรือมีหน้ามีตาในสังคมยิ่งใหญ่ แต่พ่อแม่ก็สามารถภาคภูมิใจและยิ้มได้อย่างเต็มที่ ว่าลูกสามารถเป็นเสาหลักของพี่ๆ น้องๆ ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง เดินไปไหนอย่างสง่าผ่าเผย เพราะเราใช้แรง ใช้ความสามารถในการไม่เคยต้องไปเบียดเบียนใคร ครอบครัวของเรามีทุกวันนี้ได้เพราะขยันมาตั้งแต่บทเริ่มต้นของชีวิต ไม่มีต้นทุนเป็นเงินทองของมีค่า แต่เรามีต้นทุนเป็นการปลูกฝังนิสัยจากพ่อแม่และครอบครัว ทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้. 

    "ต้องขอบคุณความลำบาก ขอบคุณอุปสรรค และขอบคุณพี่บอย ที่กลายเป็นแรงผลักดันคนสำคัญจับมือกันพาครอบครัวเดินมาถึงจุดนี้ ด้วยสมองและสองมือของพวกเราเอง" น้องบี กล่าวทิ้งท้าย

ภาพภายในโรงงานมูลค่า 150 ล้าน


ดีขึ้นอีกครั้งรักษาตัวจนดีขึ้นเป็นปกติ ลุยทำงานที่ใหม่

พ่อแม่ ที่พากันหอบผลไม้ไปขายในตลาด ปลูกฝังความขยันให้ลูกสร้างอนาคตให้ลูกๆ 3 ชีวิต

ข้อมูลและภาพจาก thairath,ขนิษฐา เพ็ญภักดี

บทความที่คุณอาจสนใจ