หมายเหตุ：สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

        อ้ายลือ นักเรียนชาวนาดีเด่นแห่ง โรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ #ไร่เชิญตะวัน ผู้มีความเพียรพยายาม และหัวใจนักสู้ เพราะอ้ายลือ ต้องคลานมาเรียน #คลานขึ้นรถซาเล้งคันนี้ ขับมากว่า 30 กิโลเมตร คลานเข้าไปในห้องเรียนคลานขึ้นเก้าอี้ เพื่อนั่งเรียนกับเพื่อน ๆ อ้ายลือมาที่นี่เพื่อเอาชนะความเป็นเศษตะกอนนอนก้นของสังคม เอาชนะทั้งคำคน เอาชนะทั้งสังขาร และเอาชนะทั้งปณิธานที่ตัวเองตั้งเอาไว้

        อ้ายลือเป็น นักเรียนชาวนา รุ่นที่ 3 อ้ายลือเป็นคนที่มีความเพียรพยายามสูงมาก เพราะว่าอ้ายลือนั้น ต้องคลานมาเรียน คลานขึ้นรถซาเล้ง ขับมากว่า 30 กิโลเมตร จอดรถ คลานเข้าไปในห้องเรียน จากนั้นก็คลานขึ้นเก้าอี้ และก็นั่งเรียนกับเพื่อน ๆ

        ทำไม อ้ายลือถึงพยายามขนาดนี้ “วันหนึ่ง สงสัยว่ามีรายได้เท่าไหร่ ก็เลย จดบันทึกบัญชีไว้ และก็ปรากฎว่าได้ 8,000 และก็หาร 3 คน กับพ่อ กับแม่ ก็เลยว่า อันนี้ไม่ ไม่ถูกสูตรละเพราะเรามีตั้ง 3 คน เราต้องได้วันละ 500 บาท แต่พ่อก็บอกว่า เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเป็นเกษตรกร” 

        อ้ายลือบอกว่า ที่ผมมาเรียนที่ โรงเรียนชาวนา เพราะผมมาสังเกตดู คำว่าเกษตรกร มันให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ทำเกษตร เป็นเศษตะกอนนอนก้นของสังคม แล้วจากนั้นเป็นต้นมา อ้ายลือก็มาศึกษาหาความรู้ที่นี่ เอาชนะทั้งคำคน เอาชนะทั้งสังขาร และเอาชนะทั้งปณิธานที่ตัวเองตั้งเอาไว้ ครบทุกประการ

        เราทุกคนถ้ามีหัวใจนักสู้ ไม่มีใครที่แพ้หรอก คนที่แพ้ก็คือ คนที่ไม่ยอมสู้และอนุญาตให้ตัวเองแพ้ต่างหาก ที่โรงเรียนชาวนา เรานั้นจ่ายยาแก้จนให้แก่นักเรียนชาวนาทุกคน โดยมีคนจ่ายยาคือ พระพุทธเจ้า“การช่วยคนที่ไม่มีความรู้ ให้รู้จักแสวงหาความรู้ ที่ยากจน ให้มีสัมมาอาชีพ ที่เอาแต่พึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้หันมาพึ่งพาตนเอง นี่แหละคือการช่วยคนที่ยั่งยืน”โรงเรียนชาวนา แรงบันดาลใจ

        ในวันพระกลางพรรษาปีหนึ่ง (2556) ท่านว.วชิรเมธี ลงไปแสดงธรรมในหมู่บ้านแห่งหนึ่งตามความตั้งใจแต่เดิมซึ่งท่านตั้งปณิธานไว้ว่า “ทุกวันพระจะไปแสดงธรรมให้ชาวบ้านในหมู่บ้านฟัง” (ตำบลหนึ่งมี 30 หมู่บ้าน) แต่ก่อนจะแสดงธรรมในเช้าวันนั้นมัคทายกได้มากระซิบว่าไม่ต้องเทศน์นาน 

        ท่าน ว.วชิรเมธี จึงย้อนถามว่าทำไมไม่อยากให้เทศน์นาน? มัคทายกตอบว่าถ้า หาก ท่าน ว. เทศน์นานค่าจ้างรายวันจากการทำงานคงจะหายไปครึ่งหนึ่ง (เพราะไปทำงานสาย) ท่าน ว. จึงกลับมาคิดว่าทำอย่างไรคนจึงจะสนใจธรรมะ เพราะตามธรรมดาท่านไปเทศน์ที่ไหนจะมีคนรอฟังท่านมากมาย และโดยทั่วไปแต่ละแห่งต้องนิมนต์ท่านล่วงหน้านานนับปี แต่ที่นี่ ที่ชุมชนใกล้ ไร่เชิญตะวัน แท้ ๆ

ทำไมคนถึงไม่อยากฟังธรรม

        เมื่อท่านกลับมาแล้วจึงลองสุ่มทำวิจัยใน 4 หมู่บ้านใกล้ ๆ ไร่เชิญตะวัน ก็พบว่าชาวบ้านเป็นหนี้กันมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือสี่หมู่บ้านเป็นหนี้กันถึง 84 ล้านบาท ชาวบ้านแต่ละคนล้วนมีหนี้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยกว่า 200,000 บาท ตัวเลขหนี้มวลรวมและหนี้ครัวเรือนของชาวบ้านทำให้ ท่านว.วชิรเมธี คิดว่า จะต้องหาวิธีช่วยชาวบ้านให้หายจากความยากจน และสามารถหยัดยืนพึ่งตัวเองทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจให้ได้ 

        โดยในเบื้องต้น ท่านได้เปิด หลักสูตรสัมมาอาชีพเกษตรอินทรีย์วิถีพุทธ (โรงเรียนชาวนา) ให้แก่เกษตรกรทั่วไปและในเวลาต่อมาได้ขยายตัวครอบคลุมไปเกือบทุกอำเภอของจังหวัดเชียงรายสวนปั๋นกั๋นกิ๋นมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ สถาบันการศึกษาทางเลือกในสังกัด มูลนิธิพุทธเศรษฐศาสตร์ร่วมกับจังหวัดเชียงรายเปิดศูนย์การเรียนรู้ “สวนปั๋นกั๋นกิ๋น” ภายในพื้นที่ของเครือข่ายชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ ด้านผู้ว่าฯ เห็นพ้องนำจุดเด่นมาเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด

        รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ที่มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ สถาบันการศึกษาทางเลือกในสังกัด มูลนิธิพุทธเศรษฐศาสตร์โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) และนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เปิดศูนย์การเรียนรู้ “สวนปั๋นกั๋นกิ๋น” เครือข่ายโครงการชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ ณ เลขที่ 67 บ้านศรีวิไล ม.7 ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย

        ศูนย์ดังกล่าวมี น.ส.ณัฐฐินี นุธรรม ผู้ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ ไร่เชิญตะวัน (โรงเรียนชาวนา) รุ่นที่ 1 ต.ห้วยสัก อ.เมือง จ.เชียงราย เป็นเจ้าของ และได้นำแนวทางที่ศึกษามาตั้งเป็นศูนย์ดังกล่าว ภายในมีการปรับพื้นที่ดินให้ทำการเกษตรผสมผสานโดยมีความหลากหลายทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ ฯลฯ โดยเป็นเกษตรอินทรีย์ปลอดสารเคมี

        พระ ว.วชิรเมธีกล่าวว่า ศูนย์นี้ถือเป็นศูนย์แรกใน อ.เชียงของ และในโอกาสเดียวกันก็ขอให้ทางผู้ว่าราชการ จ.เชียงรายได้มอบป้ายให้ศูนย์อื่นๆ ในเครือข่ายอีก 60 แห่ง เพื่อเป็นแนวทางให้นำไปเผยแพร่องค์ความรู้นี้ต่อไปโดยองค์ความรู้นี้มีสาระสำคัญคือนำคำสอนพระพุทธเจ้าและในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาบูรณาการเข้าด้วยกัน เป็นหลักเศรษฐศาสตร์และเศรษฐกิจพอเพียงเชิงพุทธ เพื่อให้ผู้เรียนรู้ได้ “อยู่รอด อยู่ได้ อยู่ดี”

        โดยอยู่รอดคือสามารถนำมาใช้ประกอบเป็นอาชีพที่ถูกต้องหรือสัมมาอาชีพได้ อยู่ได้คือช่วยลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ในครัวเรือนเพราะไม่ใช้สารเคมี และอยู่ดีคือสามารถช่วยคนอื่นให้รอดได้ด้วยจึงกลายเป็นครูของแผ่นดิน เมื่อผู้เรียนรู้สามารถทำได้ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ก็จะสามารถเป็นศูนย์ในเครือข่ายได้ต่อไป

        ด้านนายณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า เชียงรายมีภูมิประเทศที่มีภูเขาล้อมรอบแต่มีที่ปลูกข้าวกว้างนับล้านไร่ พื้นดินก็อุดมสมบูรณ์ปลูกพืชได้ดีเกือบทุกชนิด รวมทั้งมีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง จึงสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งเกษตรอินทรีย์ได้ เพราะสินค้าเกษตรธรรมดาและแบบอินทรีย์แตกต่างกันมาก ทั้ง 2 อย่างแตกต่างกันมากในเรื่องราคา โดยสามารถสังเกตได้จากราคาพืชผักในตลาดทั่วไปและที่ใส่บรรจุภัณฑ์แล้ววางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า

        ซึ่งสินค้าชนิดเดียวกันแต่ราคาห่างกันหลายเท่าตัวดังนั้น เนื่องจากพื้นที่มีโครงการปิดทองหลังพระในพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙ จำนวน 105 โครงการ และทางกรมชลประทานยังทำแหล่งน้ำอีก 185 โครงการ รวมกันทั้งหมด 290 กว่าโครงการ ซึ่งสามารถจ่ายน้ำให้พื้นที่ต่างๆ ได้ จึงควรมีการสานต่อเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดตั้งแต่ปี 2561 โดยสัปดาห์หน้าจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูทั้ง 290 โครงการว่าควรจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรต่อไปด้วย

        สิ่งสำคัญในปัจจุบันคือเรามีมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ในไร่เชิญตะวันของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ซึ่งได้เปิดสอนการเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2555 รวมเป็นเวลา 6 ปีแล้ว ทำให้มีลูกศิษย์มากมายสามารถกระจายความรู้ไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ ซึ่งสามารถนำมาบูรณาการกับโครงการที่จะเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดดังกล่าวได้ เพราะคาดว่าในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเพิ่มมากขึ้นจึงไม่มีสิ่งใดดีเท่ากับการผลิตอาหารขายและต้องเป็นอาหารอินทรีย์ โดยมี จ.เชียงรายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของไทยและลุ่มแม่น้ำโขงรวมถึงอาเซียนและโลกต่อไปด้วย

ชมคลิป

คลิปเปิดไม่ออก >>>กดตรงนี้ คลิ๊ก<<<

ข้อมูลและภาพ จาก Facebook / Youtube