หากใคร "ทนความกดดัน" ไม่ไหวแล้ว ควรไปเดินดูสถานที่แห่งนี้อย่างยิ่ง?

LIEKR:

อ่านแล้วน้ำตาไหล จริงอย่างที่สุด

    วันหนึ่งคุณจะเข้าใจว่า ไม่เคยมีคำว่า "ง่ายดาย"  2 คำนี้ในชีวิตของผู้ใหญ่ แต่เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงต้องดิ้นรนใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี ทำอย่างดีให้ที่สุดและดำเนินการต่อไป

    เมื่อเร็วๆนี้ ในเว็บ Weiboได้มีการสำรวจโดยตั้งคำถามหนึ่งขึ้นมาว่า: ตอนนี้คุณกังวลเกี่ยวกับปัญหาอะไรมากที่สุด? 

 

Sponsored Ad

 

    และคำตอบที่คนส่วนใหญ่ตอบคือ : ไม่อยากทำงานจะทำอย่างไรดี?

    ผู้บรรลุนิติภาวะในสมัยนี้นับวันยิ่งไม่อยากทำงานมากขึ้น และมักพูดติดปากเสมอว่า  “ไม่อยากทำงาน”... “อยากลาออก”

    ในความเป็นจริง หากนั้นเป็นแค่การบ่น เบื่อเหนื่อย อยากหาใครสักคนคอยปลอบใจนั้น อันนี้ก็สามารถเข้าใจความรู้สึกนั้นได้

    แต่ถ้าหากว่าวันหนึ่ง คุณไม่ต้องจะการทำงานขึ้นมาจริงๆแล้ว คุณอาจต้องไปดูสถานที่ทั้ง 4 แห่งนี้


    01 โรงพยาบาล

 

Sponsored Ad

 

    เมื่อพูดถึง “โรงพยาบาล” หลายคนมักนึกถึงภาพที่ฝูงชนมากมายเดินสวนกันไปมาพร้อมกับกลิ่นฉุนของยา ซึ่งดูแล้วเย็นชามาก

    มีแต่ผู้ที่เคยประสบกับโรคร้ายแรงเท่านั้นที่จะเข้าใจว่า : บนฝาผนังของโรงพยาบาลนั้นเต็มไปด้วยการสวดอ้อนวอน คำอธิษฐานและการภาวนาที่มากมายนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยพยานแห่งความโศกเศร้าให้เห็น ในฐานะพ่อของแพทย์ จะมาเล่าเรื่องราวบนโต๊ะอาหารค่ำ:

    ในคืนหนึ่งที่คลินิก มีคู่รักคู่หนึ่งที่แต่งตัวในสไตล์เรียบง่ายและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อพบแพทย์ชายคนนั้นซีดมาก เมื่อมองจากดวงตาของเขา น่าจะมีอายุประมาณ 50 ปีได้

 

Sponsored Ad

 

    ผลการตรวจออกมาพบว่า เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก แพทย์บอกกับพวกเขาว่า: "เป็นเรื่องที่ดีที่ตรวจพบเร็ว ตอนนี้ให้เราเข้าห้องผ่าตัดเลย เพราะจะมีโอกาสรอดสูงมาก"

ชาย: “ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่?”

หมอ: “คุณเตรียมไว้ประมาณ 50,000 ก็พอ”

ชาย: หน้าซีดกว่าเดิม พร้อมอึ้งไปสักพักแล้วพูดว่า “คุณหมอจ่ายยาให้พบกลับบ้านไปทานดีกว่า”  ภรรยาที่อยู่ข้างๆทำใจไม่ได้ คุกเข่าลงร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานใจ

หลังจากนั้นหมอก็จ่ายยาและให้ชายคนนี้กลับบ้านไปทาน จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่พบชายคนนี้เข้ามาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลนี้อีกเลย

 

Sponsored Ad

 

    **ความจริงก็คือ ความเย็นชาและโหดร้ายที่เกิดขึ้น**

    นอกเหนือจากความตายแล้ว โรงพยาบาลเป็นเหมือนกับการแสดงการแข่งขันที่ไร้ความปรานีระหว่างโชคชะตาและเงินทอง


    เมื่อปีที่แล้วบทความนี้ได้กลายเป็นไวรัลในเพจท้องถิ่นของต่างประเทศ

 

Sponsored Ad

 

    ผู้เขียน: พ่อตาเพราะไม่ระวังก็เกิดล้มป่วย จากไข้หวัดสู่โรคปอดบวมและในที่สุดก็ถึงกับต้องเข้าห้อง ICU ค่าใช้จ่ายรายวันสูงถึง 8,000-20,000 บาท

    ยิ่งไม่ต้องพูดถึง "อุปกรณ์ปอดเทียมมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 60,000 บาท การใส่ท่อช่วยหายใจ 20,000 บาทต่อวัน" และเพียง 29 วันเท่านั้น ทั้งครอบครัวเกือบต้องขายสมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยชีวิตพ่อตา แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรั้งชีวิตของพ่อตาไว้ได้

    ฉะนั้นอย่าพูดถึงเวลาที่ดีในบทกวี หรือพูดถึงอนาคตอันยาวไกล โรคภัยก็เหมือนลมหนาว น้ำค้าง พายุฝนและหิมะ มันจะไม่เข้ามาทักทายสวัสดีก่อน แต่จะค่อยๆทำให้ทั้งครอบครัวเกิดความกดดันขึ้น

 

Sponsored Ad

 

    ถ้าคุณไม่อยากทำงานแล้ว ก็ควรไปโรงพยาบาลเดินดูรอบๆ ไปยืนหน้าห้อง ICU คุณจะเห็นว่า “โรคภัย” เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวหมดตัวได้อย่างรวดเร็ว และคุณจะเห็นผู้คนบางประเภทที่ไม่มีเงินจึงต้องละทิ้งโอกาสในการรักษาไป แววตาของผู้คนเหล่านั้นหมดหวัง สิ้นหวังแค่ไหน?

    แม้ว่าการทำงานหนักนั้นจะเหนื่อย แต่มันสามารถสร้างรายได้ที่แท้จริงให้กับคุณ และ "เงินทอง" ก็สามารถใช้ต้านทานความเสี่ยงและต่อสู้กับโลกที่ไม่แน่นอนนี้ได้

Sponsored Ad

    2. บนนถนนตอนเช้าตี 4

ตอนเช้าตี 4 ในช่วงเวลานี้คนส่วนใหญ่กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ แต่กลับมีบางคนต้องตื่นขึ้นมาทำงานอย่างเร่งรีบ

ตอนเช้าตี 4 บนถนน จะปรากฏโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเวลา 3:30 น. คนขับรถบรรทุกได้บรรทุกของเรียบร้อย พร้อมเริ่มเดินทางในเส้นทางใหม่แล้ว

เมื่อเวลา 4:00 น. แม่สามีที่ขายอาหารเช้าเข็นรถตั้งร้าน ผ่านตรอกซอกซอยแคบ ๆและสายลมที่เยือกเย็น

เมื่อเวลา 4:30 น. แพทย์ที่ดูล้าเพิ่งออกจากการผ่าตัด 12 ชั่วโมง เดินพยุงตัวออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนล้า

เมื่อเวลา 5:00 น. ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขอนามัยตื่นขึ้นมาในเมือง เริ่มทำความสะอาดท้องถนนที่มืดมน ...

เมื่อคุณเคยเห็นผู้คนบนท้องถนนตอนตี 4  คุณก็จะเข้าใจว่า โลกจะไม่หยุดนิ่งเพียงเพราะความมืดมิดในตอนกลางคืน

    คุณจะเข้าใจว่าไม่เคยมีคำว่า "ง่ายดาย" ในชีวิตของผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงต้องดิ้นรนใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี ทำอย่างดีให้ที่สุดและดำเนินการต่อไป

    เมื่อเปรียบเทียบกับเรา ที่ได้นั่งนอนในคืนอันอบอุ่น นั่งในโต๊ะทำงานที่สบาย การมีการงานที่ดีนั้นสุขสบายมากแค่ไหน นี้คือความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว

    Yasunari Kawabata นักประพันธ์ชาวญี่ปุ่น ครั้งหนึ่งเคยเขียนว่า: "การตื่นขึ้นมาตอนตี 4 และพบว่าดอกไห่ถัง (Chinese Flowering Crabapple)ยังไม่ได้นอนหลับ"

    “ดังนั้น แม้ว่าชีวิตนั้นจะต้องพบเจอความขมขื่นและเหน็ดเหนื่อยอีกครั้ง ก็จะมีแสงริบหรี่ในโลกที่สงวนไว้สำหรับทุกคนที่ไม่เคยยอมแพ้”

    3. สนามบิน

    มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า : “หากลูกของคุณไม่อยากเรียนหนังสือ ก็พาพวกเขาไปดูยังที่ต่างๆ เช่น ที่พักรถเมล์สาธารณะ,สถานีรถไฟ,สถานีรถไฟฟ้าเร็วสูง,สนามบิน”

    เมื่อไปที่สนามบิน ไปดูรอบๆว่าว่ามีผู้คนมากมายมาจากที่ต่างกัน มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา จากนั้นค่อยไปสถานีรถไฟ มองดูผู้คนที่แบกของสัมภาระมากมาย ผู้คนมากมายที่เบียดเสียดในรถไฟ ต้องทนกลิ่นและพฤติกรรมของคนที่แตกต่างกัน กับเวลาที่ผ่านพ้นไปอย่างช้าๆในการเดินทาง

    ลองคิดใคร่ครวญดูอนาคตของตนเอง คุณจะเลือกการเดินทางแบบไหน?

    แน่นอน! ในความเป็นจริงชีวิตที่เรียบง่ายส่วนมากไม่เคยนั่งเครื่องบิน ไม่เคยได้กินเนื้อสเต็ก เราลองนำมาเปรียบเทียบดู การมีชีวิตที่เรียบง่ายนั้นไม่น่ากลัวเลย แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ  “การที่ไม่เคยมีประสบการในการดิ้นรนต่อสูงกับชีวิต” สุดท้ายชีวิตก็จะเฉยเมย ไม่มีอะไร ยังปลอบใจตนเองว่ามีค่าที่สุด

    เป็นสิ่งที่ดีแค่ไหนที่สามารถเดินทางมายังโลกนี้ได้ ไม่ใช่เพราะมาลิ้มรสชาติชีวิตในแบบต่างๆมิใช่หรือ? มาลองกินอาหารที่ไม่เคยกิน ทางที่ไม่เคยเดิน มองสิ่งที่ไม่เคยเห็น เพลิดเพลินกับความอิสระทางเศรษฐกิจ นี่คือความหมายสูงสุดของชีวิต


    เรามักพูดเสมอว่า การเรียนสามารถเปลี่ยนโชคชะตาได้ พูดตามความจริงนะ มันไม่ผิดเลย!

    อย่างไรก็ตามการเรียนมักจะเป็นเพียงทางลัดสู่ความสำเร็จ และการแข่งขันที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณก้าวเข้าสู่สังคม

    เช่นเดียวกันคือไปทำงานบางคนทำทุกอย่างได้ดีและอย่าลืมเสริมสร้างตนเองหลังเลิกงานบางคนไม่ทำอะไรเลยทุกวัน

    “ชีวิตคือการไล่ล่า” บางคนหยุดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าสักพัก ในระหว่างทางบางคนยังคงนั่งยอง ๆ แม้ว่าพวกเขาจะต้องสัมผัสกับบาดแผลก็ต้องเดินหน้าต่อไป

    หากคุณไม่เต็มใจจะมีชีวิตที่ธรรมดา ถ้าคุณต้องการที่จะเปลี่ยนชีวิต ถ้าคุณต้องการที่จะข้ามภูเขาและทะเลเพื่อเห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม วิธีเดียวก็คือ “คุณจะต้องพยายามทำงานหนัก”

    คิดอยากมีชีวิตแบบไหน ก็จะมีชีวิตแบบนั้น ทั้งหมดคุณเป็นคนเลือกเอง!

    4. บ้าน

    เมื่อปีที่แล้ว การงานของผมไม่ค่อยราบรื่น ทำให้อารมณ์เสียไม่คิดให้รอบคอบจึงลาออกกลับบ้าน

    แม่ไม่ได้ด่าผม แต่ตรงกันข้าม เธอเข้ามาปลอบใจผมสองคำ ยังทำอาหารเต็มโต๊ะ เมื่อกินไปได้สักพัก ก็ไม่เห็นแม่มาร่วมโต๊ะด้วยเลย พ่อจึงแอบกระซิบบอกผมว่า “แม่แอบไปกินกับข้าวที่เหลือเมื่อวานในห้องครัวลำพัง แกก็รู้ว่าแม่เป็นคนประหยัดแค่ไหน?”

    เมื่อผมฟังจบ ก็เริ่มแสบจมูกขึ้นมาทันที น้ำตาไหลรินลงอาบหน้า เมื่อพ่อเห็นผมน้ำตาไหล มือก็สั่นพยายามจะมาเช็ดน้ำตาให้ผม “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ พ่อยังอยู่เคียงข้างร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ยังทำงานหาเลี้ยงลูกได้อีกหลายปี” เพราะคำพูดนี้ทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม อารมณ์ที่ผสมผสานระหว่างกับความประหม่าและละอายใจหลั่งไหลจากทุกทิศทางเข้ามาภายในจิตใจ โอบฉันไว้ในอากาศ

    ทำให้ผมคิดว่าไม่เพียงไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดี ยังทำให้ท่านเสียใจอีก ผมสีสิทธิอะไรที่จะบ่นว่าเหนื่อยอีก ผมมีสิทธิอะไรที่จะพ่ายแพ้!! มีสิทธิอะไรที่จะสิ้นหวัง...


    มีคนเคยบอกว่า “ความเร็วของความสำเร็จ จะต้องเร็วกว่าความแก่ชราของพ่อแม่”

    ชีวิตเราติดหนี้พ่อแม่เพียงครั้งเดียว สิ่งที่กลัวคือเมื่อเวลาท่านแก่ตัวลงหรือนอนบนเตียงต้องการความช่วยเหลือ แต่เรากลับไม่มีกำลังช่วยเหลือ

    วันใดที่คุณไม่อยากทำงานแล้ว ให้กลับบ้านไปดูพ่อแม่ว่ากินอะไร? สวมใส่เสื้อผ้าอะไร? แล้วคุณกินอะไร สวมใส่เสื้อผ้าแบบไหน? คุณก็จะเข้าใจมากขึ้น พ่อแม่ได้แบกภาระหนัก ทนทุกข์แทนเราในช่วงเวลาที่ผ่านมาในอดีต ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณต้องโตเป็นผู้ใหญ่และแบกรับมันด้วยตนเอง

    5. ความทุกข์ของแต่ละคน

    เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายคนหนึ่งได้พูดคุยกับเพื่อนๆเกี่ยวกับความทุกข์ในหน้าที่การงาน ปรากฏว่าทุกคนล้วนมีความทุกข์ในแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป

    นาย A เขามักมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด ทำให้เพื่อนร่วมงานค่อยๆออกห่างจากเขา ทำให้ทุกวันรู้สึกเจ็บปวด

    นาย B ชอบออกไปทำงานต่างจังหวัด ทำโอที ทำแบบนี้เกือบครึ่งเดือน เขาแทบไม่ไหวแล้ว

    นาย C ได้แก้แบบไป 12 ครั้งแล้ว ลูกค้าก็ยังไม่พอใจ โดนด่าจนถึงค่ำมืดเหมือนหมา

    ลองมองดู ทุกคนล้วนมีเหตุผลที่อยากจะลาออก ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาชั่ววูบที่คิดอยากจะพ่ายแพ้ แต่ทว่าไม่อยากให้ความพยายามที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้ต้องสูญเปล่า จึงต้องพยายามทำให้ถึงฝันที่หวังไว้ และอยากจะพิสูจน์ว่า เราทำได้ พวกเขาเลือกที่จะกัดฟันสู้ต่อไป

“เรื่องบางเรื่องอย่ามองเห็นความหวังจึงจะเกิดพยายาม”..... “แต่จงดิ้นรนพยายามแล้วจะเห็นความหวังข้างหน้า”

    ไม่มีการงานของใครที่ไม่ลำบากหรอกนะ ยอมแพ้และวิ่งหนีปัญหา แน่นอนว่าเป็นวิธีที่สามารถหนีปัญหาได้เร็วที่สุด แต่ไม่ใช่ตลอดไป เมื่อคนๆหนึ่งแก่ชราลงแล้วย้อนกลับมาดูอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่ทุกข์ใจไม่ใช่เพราะ “ล้มเหลว” แต่คือ “ที่จริงเราทำได้ แต่ไม่ทำ”

    ทนอีกนิด สู้อีกหน่อย พยายามต่อไปทำให้ดีที่สุด แล้ววันข้างหน้าจะพบว่า น้ำตาและรอยยิ้มที่ประสบผ่านมาคือการฝึกฝน สิ่งเหล่านั้นที่ไม่สามารถฆ่าคนอย่างคุณได้ แต่มันกลับทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นมาต่างหาก

    ความขุ่นมัวมีมาถึงก็ต้องมีลาจาก เหงื่อแห่งความเหนื่อยล้ามีไหลรินก็ต้องมีวันจางหาย

    ขอให้ทุกคนที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนมีชีวิต ได้พบเจอกับวันที่ภาคภูมิใจในอนาคต เพื่อเป็นรางวัลแห่งชีวิต โลกนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนที่ย้อมพ่ายง่ายๆ แล้วไม่ลุกขึ้นมาสู้ต่อ!!


ที่มา:eathealth

แปลและเรียบเรียงโดย Liekr

บทความที่คุณอาจสนใจ