"พลอย สโรชา" สาว "ตามองไม่เห็น" คว้าเกียรตินิยมจุฬาฯ สู้จนเป็นนักเขียนอาชีพ เเม้ตามองไม่เห็น!

LIEKR:

แม้ว่าตาบอด แต่ก็ยังมองโลกได้ดี!หลายคนสงสัยว่าคนตาบอดแล้วเป็นนักเขียนได้ยังไง? บอกเลยว่าเธอสู้ชีวิตมากๆ

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ 

        การที่ตัวเราความสมบูรณ์ไม่ครบ 32 เหมือนกับคนอื่น มันไม่ได้แปลว่าคุณค่าของตัวเราจะน้อยกว่าคนอื่น และการที่เรียกสิ่งที่ตัวเองมีว่าปมนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นปมด้อยเสมอไป เพราะสิ่งที่คุณเป็นอาจจะเป็นปมเด่นก็ได้

        อย่างเช่นเธอคนนี้ "พลอย-สโรชา กิตติสิริ" คนนี้ ที่ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นสาวทุพพลภาพ ดวงตาไม่เห็น แต่เธอก็สามารถเรียนจบ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อย่างภาคภูมิ และในตอนนี้นั้นเธอกำลังศึกษาปริญญาโทด้านจิตวิทยาอยู่อีกด้วย        

 

Sponsored Ad

 

พลอย สโรชา

        และสิ่งที่เรียกว่าทำให้เธอมีความพิเศษและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้คนที่มีความทุพพลภาพ ทางด้านสายตานั้นก็คือ ถึงเธอจะมองไม่เห็น แต่เธอก็สามารถเขียนหนังสือวรรณกรรมร่วมสมัย เรื่อง “จนกว่า เด็กปิดตา จะโต”

        โดยหนังสือเล่มนี้ป็นเรื่องราวบันทึกส่วนตัวของเธอที่เขียนอย่างสม่ำเสมอมาตลอดเกือบสองปีเต็ม ที่เธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเธอออกมาอย่างไม่มีกรอบอะไรมาจำกัดเอาไว้

 

Sponsored Ad

 

        เล่าในสิ่งที่เธอพบเจอในการดำเนินชีวิต ความนึกคิดที่เกิดขึ้น มุมมองต่อสิ่งต่างๆ บทเรียน ที่เธอได้จากการไตร่ตรอง ทำให้เธอมองไปข้างหน้าว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร

 

Sponsored Ad

 

        ซึ่งผลงานการเขียนของเธอนั้นได้ รับรางวัลชมเชย กลุ่มหนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่น อายุ 12-18 ปี (สารคดี) ด้วย

        สำหรับมุมมองของคนที่มองไม่เห็นนั้น พลอย เคยเผยถึงความรู้สึกของเธอผ่านบันทึกว่า การที่ตัวเองตาบอดนั้นเหมือนเธอเป็นคนที่ถูกเลือก ไม่ว่าจะเธอจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เธอถูกเลือกให้มาเป็นคนตาบอดด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

 

Sponsored Ad

 

        การที่เธอมองไม่เห็นนั้นมันทำให้เธอได้สัมผัสถึงความกลัว ความเชื่อที่ผิดๆ แต่ยังไงก็ตามเธอก็สัมผัสและเห็นถึงความรัก ความเข้าใจของกันและกัน

 

Sponsored Ad

 

        ซึ่งเธอมักที่จะรู้สึกได้ผ่านคนรอบตัว และไม่น้อยครั้งที่เธอรู้สึกจากตัวเอง ซึ่งเธอรู้สึกแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเธอรู้สึกสะเทือนใจ เพราะทุกอย่างเหมือนเป็นการสร้างกำแพงที่เธอไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรขึ้นมากันเธอไว้

        แต่ในสุดท้ายแล้วเธอก็มีความคิดที่ว่า มันไม่ใช่การมองไม่เห็นหรอก ที่ทำให้หลายๆ สิ่งเป็นเรื่องยาก แต่ความเชื่อว่าการมองไม่เห็นต่างหาก คือต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เรารู้สึกแย่และปิดกั้นตัวเอง

 

Sponsored Ad

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


.

.

.

.

.

.

.

.

ชมคลิป

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก <<<

ข้อมูลและภาพ จาก Thairath onlinetaibann

บทความที่คุณอาจสนใจ