จากผู้รับเหมาหมดตัว เพราะต้มยำกุ้ง ชีวิตจาก 100 ล้าน กลับสู่ศูนย์ ก่อนพลิกกลับมารวยได้อีกครั้ง

LIEKR:

กลับมาเริ่มต้นใหม่ตอน 50 ก็ไม่สายเกินไป..

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

        "พระราม 9 ไก่ย่าง" เจ้าของสโลแกน สะอาดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขา สร้างยอดขายรวมปีหนึ่ง ๆ น่าจะถึงหลักหลายร้อยล้านบาท และกำลังจะเปิดสาขาที่ 5 ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ให้ห้างดังย่านเลียบด่วนรามอินทรา แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่กิจการมั่นคง ผู้คนชื่นชมจำนวนมาก แถมยังมีรางวัลระดับโลกมาการันตี บอกเลยว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย

        "คุณสุเมธ ต่อสหะกุล" เจ้าของกิจการ "พระราม 9 ไก่ย่าง" จากเสี่ยรับเหมาก่อสร้าง มีลูกน้องเป็นร้อยคน รายได้ร้อยล้าน กลับกลายเป็นคนตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจปี 2540 จนเป็นหนี้ธนาคารหลายสิบล้าน เรียกว่า "สิ้นเนื้อประดาตัว" แต่กลับพลิกฟื้นกลับมายืนได้อย่างทรนงอีกครั้งในธุรกิจใหม่ 

 

Sponsored Ad

 

        เมื่อครั้นอดีตคุณสุเมธเป็นเจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรร แค่เขียนพิมเขียวเสร็จ ลูกค้าก็จองเต็มแล้ว แต่แล้วก็เกิดพิษเศรษฐกิจ ทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้ลูกค้า บ้านจัดสรรที่สร้างขึ้นมาขายไม่ได้เลย ทำให้ธุรกิจต้องจบลง ตอนนั้นครอบครัวเราเหลือเงินอยู่น้อยมาก ไม่มีเงินแม้กระทั่งจะให้ลูกไปโรงเรียน 

        มีที่ดินอีกแปลงหนึ่งที่อุดรธานีซึ่งสวยมาก กะไว้ว่าจะทำโรงแรม สุดท้ายต้องขายเพื่อเอาเงินมาตัดบัญชีกับแบงก์ สุดท้ายหลุดจากเอ็นพีแอล แต่ตอนนั้นหมดแล้วไม่เหลืออะไรแล้ว แม้หนี้จะระงับ ถึงกับทำให้ถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว อดีตเสี่ยรับเหมา จึงต้องหอบครอบครัว มาตั้งหลักกันใหม่ที่บ้านพักในกรุงเทพฯ ย่านถนนพระราม 9 ซึ่งซื้อไว้สมัยธุรกิจของเขายังรุ่งเรือง

 

Sponsored Ad

 

        ช่วงนั้นคุณสุเมธไม่มีงานทำ มีเวลาว่างมาก ทุกคืนจึงมักไปนั่งเป็นหน้าม้า ในร้านหมูกระทะของเพื่อนสนิท ที่เขาเพิ่งมาเปิดขายย่านตลาดแฮปปี้แลนด์ แต่จนแล้วจนรอด ลูกค้ายังไม่มี เลยชวนให้ย้ายทำเล เมื่อเป็นตัวตั้งตัวตีให้เพื่อนมองหาทำเลค้าขายใหม่ คุณสุเมธ จึงเต็มใจอาสาขับรถพาเพื่อนคนดังกล่าว ตระเวนหาที่ขายอาหาร มีอยู่วันหนึ่งแล่นรถไปย่านซอยนวลจันทร์ ตอนช่วงมื้อกลางวันพอดี เลยซื้อไก่ย่างส้มตำ แถวนั้นมารับประทานกันในรถ กัดเข้าไปไม่กี่คำ สองหนุ่มเพื่อนซี้ มองหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยมาเป็นเสียงเดียวกัน

 

Sponsored Ad

 

        "เฮ้ย! ไก่ย่างบ้านเรา ที่อุดรธานีอร่อยกว่านี้ตั้งเยอะ ทำไมเราไม่เอามาขายบ้าง คืนนั้นผมเลยขับรถมุ่งหน้าอุดรธานีเลย หวังหาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เคยย่างไก่ขายแถวตำบลห้วยสามพาด ไปขอสูตรเขา" คุณสุเมธเล่า

        ผู้เฒ่าขายไก่ย่างแห่งห้วยสามพาด ที่ไปขอสูตรมานั้น เขาเลิกขายแล้ว แต่ยินดีบอกสูตรให้ แต่สูตรค่อนข้างจะถูกปากคนอีสาน เขาจึงมาปรับให้คนกรุงเทพ รับประทานได้ด้วย ซึ่งใช้เวลาในการปรับสูตรไม่นานเท่าไหร่ เนื่องจากเขาเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว

 

Sponsored Ad

 

        ตอนตกงานคุณสุเมธมักออกไปซื้อกับข้าวมาทำให้ลูกกินอยู่เสมอจะได้ประหยัด ฉะนั้นเรื่องการปรุงรสหมักไก่จึงไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อปรับสูตรจนได้ที่ จึงเริ่มลงทุนแล้ว ตอนนั้นมีเงินอยู่ 20,000 บาท ลงไปยังไม่หมด 20,000 เลย เพราะไม่ต้องเสียค่าจ้าง เพื่อนลงแรง ส่วนคุณสุเมธลงเงิน

        คุณสุเมธ เล่าต่อว่า “อยู่บ้านเฉย ๆ ตั้ง 2-3 ปี ไม่รู้จะทำอะไร ช่วงนั้นมีทุนอยู่นิดหน่อย แต่ลูก 3 คนกำลังกินกำลังใช้ เลยอยากลงทุนทำอะไรสักอย่าง ซึ่งการขายไก่ย่าง ลงทุนต่ำมาก ไก่สดตัวหนึ่งไม่กี่สิบบาท เหมาไก่มาสัก 300 ตัว ใช้เงินแค่หมื่นบาท และไม่เคยคิดว่าจะร่ำรวยจากไก่ย่างหรอก แค่อยากจะทำยังไงให้อยู่บ้านได้แบบไม่เหงา”

 

Sponsored Ad

 

        การตั้งต้นอาชีพใหม่ในบทบาท "พ่อค้าไก่ย่าง" ของอดีตเสี่ยธุรกิจรับเหมาผู้นี้ เริ่มที่ใต้ต้นจามจุรี ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของเขาราว 200 เมตร ถัดเข้ามาจากถนนใหญ่ แค่เพียงไม่กี่สิบเมตร แต่ช่วงเวลาในราว ปี 2543 นั้นผู้คนยังไม่พลุกพล่าน

        คุณสุเมธยอมรับว่าตอนเปิดขายครั้งแรก ในใจเฝ้าคิดวนเวียนว่าจะไปได้หรือเปล่า เพราะสภาพร้านไม่มีอะไรดึงดูดแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายยอดขายวันแรกนั้น เขาจำได้แม่นว่าอยู่ที่ 17 ตัว "ขายวันแรกได้ 17 ตัว ภูมิใจมาก เพราะกะไว้ว่า ถ้าได้แค่ 10 ตัว พอแล้ว กำลังใจนี่มาเลย ส่วนราคาขายตั้งไว้ที่ ตัวละ 69 บาท ตอนแรกว่าจะขาย 70 บาท แต่อยากเลียนแบบการตั้งราคาเหมือนรองเท้าบาจา" คุณสุเมธ เผยกลยุทธ์การตั้งราคา

 

Sponsored Ad

 

        คุณสุเมธ มีเรื่องราวภารกิจในช่วงนั้นมาถ่ายทอดให้ฟังด้วยว่า ทุก 3 วัน เขาจะต้องขับรถจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดอุดรธานี โดยออกจากบ้านตั้งแต่ตี 2 เพื่อไปซื้อไก่บ้านสดมาหมัก สาเหตุที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีไก่บ้านพันธุ์ที่ต้องการขายในตลาดกรุงเทพฯ และการขนไก่กลับมาจากอุดรธานีนั้น ต้องกลับมาให้ทันก่อน 5 โมงเย็น เพื่อขนของและรับเพื่อนที่ทำหน้าที่ขายไก่อยู่กลับเข้าบ้าน

        แม้หุ้นส่วนคนสำคัญขอบายไปก่อนถึงฝั่งฝัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ คุณสุเมธ ต้องท้อแท้หรือหมดหวัง เขายังก้มหน้าก้มตาย่างไก่ขายวันละ 20 กว่าตัวอยู่ต่อไป แต่เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากเพื่อนของเขาถอนตัวออกไปได้เพียงสัปดาห์เดียว ยอดขายไก่ย่างพุ่งขึ้นจากเดิม เป็นวันละ 70-80 ตัว ชนิดหาสาเหตุไม่ได้

Sponsored Ad

        เมื่อกิจการพอมีกำไรและทำท่าจะไปได้สวย คุณสุเมธจึงลงทุนด้วยเงิน 20,000 บาท สร้างร้านให้เป็นโรงเรือนมุงหลังคากระเบื้องกันแดดลม แทนจะตั้งเตาย่างขายใต้ต้นไม้เหมือนเดิม ส่วนเรื่องที่ดินนั้นไม่ต้องกังวล เพราะเป็นที่ดินเหลือจากการเวนคืนซึ่งเป็นทรัพย์สินของเพื่อนเขา และเจ้าของยังไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์อื่นใดนอกจากใช้เป็นที่ทิ้งขยะจำพวกเศษปูนเศษไม้เหลือจากการก่อสร้าง

        คุณสุเมธ เล่าต่อว่า เมื่อมีร้านเป็นเรื่องเป็นราวได้พักหนึ่ง จึงมีลูกค้าให้คำแนะนำว่า ขายไก่ย่างอย่างเดียวกำไรน้อย ต้องมีข้าวเหนียว ต้องมีส้มตำด้วย เขาและภรรยาจึงปรึกษากัน ว่าจะตำส้มตำสูตรไหนออกขาย เลยเริ่มไปซื้อมะละกอมาให้ภรรยาตำ แล้วเขาเป็นคนชิม และจดว่าในครกหนึ่งมีสัดส่วนของส่วนผสมอย่างไรบ้าง พอได้สูตรลงตัว จึงเชิญเพื่อนมานั่งรับประทานข้าวที่บ้าน แล้วตำส้มตำให้รับประทาน แต่บอกก่อนว่า ห้ามชมโดยเด็ดขาดว่าอร่อย ให้หาจุดที่ไม่ดีให้เขาหน่อย

        ครั้นมีหน้าร้านเป็นสัดส่วนและมีรายการอาหารเพิ่มขึ้น สิ่งที่ลูกค้าถามหาลำดับต่อไปนั่นคือ ที่สำหรับนั่งรับประทานได้ที่ร้าน คุณสุเมธจึงลงทุนเพิ่มอีกรอบด้วยการควักเงินซื้อซุ้มไผ่มาตั้งหลังร้าน จำนวน 3 ซุ้ม ซึ่งได้ผลเกินคาด มีลูกค้ามารับบริการเต็มทุกวัน เป็นอย่างนั้นอยู่ 3 เดือน เขาจึงตัดสินใจ สร้างโรงเรือนเป็นแถวโล่ง จำนวน 7 ล็อก เพื่อรองรับลูกค้าให้ได้มากขึ้น กระทั่งปัจจุบัน กิจการของเขาขยับขยายเต็มพื้นที่นับไร่ รองรับลูกค้าได้กว่า 500 คน

        กว่ากิจการจะใหญ่โตขนาดนี้ คุณสุเมธใช้เวลาประมาณ 7 ปีเศษ นับแต่วันที่ย่างไก่ด้วยเตาถ่านขายอยู่ใต้ต้นไม้ ปัจจุบันร้านเราเลิกใช้เตาถ่านแล้ว เพราะลูกค้าหลายท่านกังวลเรื่องควันไฟ คุณสุเมธเลยสั่งซื้อเตาย่างไก่ ไม่ใช้แรงงานคน ระบบไร้ควันและความร้อนสูงจากสหรัฐ มาใช้งานจำนวน 3 ตัวด้วยกัน เตาประเภทนี้ตัวหนึ่งราคาอยู่ที่ 7 หลัก

        หลายคนคงสงสัยเหตุใด จึงลงทุนซื้อเตาย่างไก่ในราคาสูงถึงหลักล้านบาทมาใช้งาน คุณสุเมธ บอกว่า ช่วงสถานการณ์ “ไ ข้ ห วั ด น ก” ขายได้แต่กับข้าวอย่างอื่น ส่วนไก่ย่างขายไม่ได้เลยเป็นเวลา 2 เดือนเศษ เลยคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า เลยขอเข้ารับคำปรึกษาจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กระทั่งมีการสั่งซื้อในที่สุด

        “ลูกค้าของร้านเรา ส่วนใหญ่มีฐานะ มีความรู้ ขับรถมาทานกันทั้งนั้น ฉะนั้น ถ้าร้านของผมมีเตามาตรฐาน พอเขาเข้ามาทานก็สบายใจ ซึ่งได้ผลเกินคาด พอได้เตานี้มาใช้ หลังมีการประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจ โอ๊ย ขายดีกว่าเดิมอีกครับ” คุณสุเมธกล่าว

        นอกจากจะกล้าลงทุนซื้อเตาราคาแพงมาใช้งานในร้านแล้ว คุณสุเมธยังริเริ่มทำ “ไก่ย่างสุญญากาศ” ออกมาจำหน่าย คาดว่าน่าจะเป็นรายแรกของเมืองไทยอีกด้วย โดยอธิบายที่มาให้ฟังว่า ที่ผ่านมามีคนมารับไก่สดจากทางร้านไปย่างขายต่อ แต่บางคนไม่ประสบความสำเร็จ เช่น หากย่างไว้เยอะ ลูกค้าน้อย ของเหลือขาดทุน แต่หากย่างไว้น้อย แต่ลูกค้าเยอะ คนขายก็เสียโอกาส

        เขาจึงเกิดความคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีไก่หมักซึ่งอยู่ได้นาน ๆ เลยส่งลูกสาวคนเล็กไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านโภชนาการ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อมีการหารือกับอาจารย์ที่ปรึกษา จึงมีการพัฒนามาเป็นไก่ย่างสุญญากาศ สามารถอยู่นอกตู้เย็นได้หลายวัน ส่งไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศได้สบาย

        ถามถึงยอดขายของไก่ย่างสุญญากาศ คุณสุเมธ ยอมรับว่า ไม่ดีอย่างที่คาด ทั้งที่คุณภาพดีมาก ทั้งนี้ ตัวเขาวิเคราะห์ว่า อาจเป็นเพราะคนไทยยังยึดติดอยู่กับ อาหารที่ต้องย่างกันใหม่ ๆ และเชื่อว่าของแช่แข็งคงไม่อร่อย แต่ความจริงแล้วรสชาติเหมือนกันไม่มีเพี้ยน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังทำออกมาขายอยู่ เพราะมีลูกค้าประจำอยู่กลุ่มหนึ่ง

        พูดคุยกันอย่างออกรสนานนับชั่วโมง จึงตั้งคำถามถึงหลักในการทำธุรกิจว่าคืออะไร คุณสุเมธหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนบอกว่า เขายึดหลักความซื่อสัตย์ บางคนใช้วัตถุดิบไม่ดี แล้วมามั่วให้ลูกค้า เขาไม่ทำ อีกทั้งเรื่องความสะอาด ต้องซื่อสัตย์จริง ๆ เขามักสั่งลูกน้องทุกคนไว้เสมอว่า ถึงเราทำสกปรกลูกค้าไม่รู้ แม้เราทำสะอาดลูกค้าก็ไม่รู้ แต่บาปจะติดตัว เพราะตัวเรารู้เอง

        “ผมถือว่าทุกวันนี้ประสบความสำเร็จมากแล้ว และสิ่งที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ผมเชื่อว่ามาจากความซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ในแง่การใช้วัตถุดิบ เครื่องปรุง ต้องดีสม่ำเสมอ ร้านขายอาหารไม่ใช่ไม่โกงเงินอย่างเดียว แต่ต้องซื่อสัตย์ทุกอย่าง การเอาของอีกเกรดหนึ่งมาหลอกขาย ต้องไม่ทำ แต่ถ้าทำแล้วขาดทุนจริง ๆ ผมจะขอขึ้นราคา แต่ถ้าสู้ได้ ผมจะยืนอยู่ที่ราคาเดิม” คุณสุเมธ กล่าวทิ้งท้าย

ชมคลิป..

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เฟซบุ๊ก พระราม 9 ไก่ย่างsentangsedteeลุกแล้วรวย looklaewruay

บทความที่คุณอาจสนใจ