ไม่ง่ายเลย! สาวเล่าประสบการณ์จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย ฝ่าฟันทุกอุปสรรคจนได้เป็นสถาปนิกที่อเมริกา

LIEKR:

เก่งมาก ๆ เลยค่ะ ชื่นชมจากใจเลย

        นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่าชื่นชมในความพยายามอย่างยิ่ง เมื่อสมาชิกเว็บไซต์พันทิปได้นำประสบการณ์ของตนเองที่ได้มาแชร์ "จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย จนมาเป็นสถาปนิกที่อเมริกา (ไม่ง่ายเลย...)" 

        โดยเธอเริ่มเล่าว่า “สวัสดีค่ะ เพื่อนและ น้อง ๆ ชาวพันทิป จอมค่ะ จอมเรียนจบสถาปัตย์จากจุฬาฯ ตอนนี้ทำงานเป็นภูมิสถาปนิก (Landscape Architect) ที่อเมริกา เคยทำมาสามที่สามเมือง มี Salt Lake City, Boston และ ตอนนี้มาอยู่ Denver ค่ะ มีหลายคนมาถามว่าทำไมถึงมาได้ทำงานต่างประเทศ เลยคิดว่าอยากจะลองเขียนเล่าเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ อาจจะยาวหน่อยแต่ก็อยากแบ่งปันให้ทุกคน ได้อ่านกันจ้า

 

Sponsored Ad

 

        หลายคนรู้จักสถาปนิก(Architect) แต่พอถามว่า…แล้วภูมิสถาปนิก(Landscape Architect) คือใคร? งานสายนี้มีทั้ง ออกแบบสวนสาธารณะ พลาซ่า พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สวนสนุก หมู่บ้าน มหาลัย และ รีสอร์ท ไม่ใช่เพียงแค่ สวน อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ ง่าย ๆ คือ สถาปนิกออกแบบตัวอาคาร ส่วนภูมิสถาปนิกออกแบบวางผังจัดการการใช้งานพื้นที่ ที่จะวางอาคารต่าง ๆ ลงไปค่ะ

อยู่ที่ไทยดี ๆ…แล้ว ไปทำงานที่อเมริกาได้ยังไง?

 

Sponsored Ad

 

        ก่อนอื่นต้องบอกว่า จอมเนี่ยจัดว่าอยู่ในแทบจะ Worst Case Scenario คือ เรียนไม่เก่ง บ้านไม่มีตังค์ส่งไปไหน เรื่องดวงนี่ไม่ต้องพูดอะไร พึ่งกันไม่ค่อยได้ ที่มีอย่างเดียวจริงๆ คือ ใจ

แรงผลักดันที่ 1 .. “PASSION”

 

Sponsored Ad

 

        จอมเนี่ย เด็ก ๆ ชอบวาดรูปเล่น พอจะเข้าม.1 แม่พาไปดูบ้านเพื่อนที่สวย น่าสนใจ เลยเกิดความสงสัย เลยถามแม่ว่าคนเค้าทำอาชีพอะไรที่เป็นคนทำงานพวกนี้ ตั้งแต่นั้นมาเลยรู้ว่าตัวจอมเองอยากเป็นสถาปนิก อยากเข้าคณะสถาปัตย์ ช่วง 3 ปีในม.ปลาย เลย ตั้งใจอ่านหนังสือ อัดมันไปเลย ตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้า ทุกเช้า เรียนพิเศษอีก เสาร์ อาทิตย์ก็ไม่เว้น อัดความรู้ทุกอย่าง แล้วคิดอยู่ตลอดเสมอว่า ถ้าไม่ได้สถาปัตย์ ไม่เรียนอ่ะ จนกระทั่ง ผลเอ็นออกเราติดสถาปัตย์ จุฬา เห้ยยยยยยย เราทำได้ คิดว่านี่แหละเราสำเร็จแล้ว เอ่อ..ที่จริงคือ…มันเพิ่งเริ่มต้นฮะ….

 

Sponsored Ad

 

        พอเข้ามาปุ๊ป เริ่มเรียนปีแรกเท่านั้นแหละ Shock พบว่า รักมันยังไม่พอ เพราะเริ่มปีแรก ได้คะแนนห่วยแตก แบบเราว่าเราโอเค เราสนุกกะมันตอนทำ พอส่งไปถึงมืออาจารย์ทำไมเกรดห่วย ห่วย ห่วยจังวะ ไม่เข้าใจ คือทำให้เราได้พบความจริงว่า “แค่รักมันยังไม่พอ” จริง ๆ แหะ ฉันต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า กว่าจะออกมาได้ผลดีเท่าเขา

        ไม่นับว่าญาติ ๆ ที่บ้านลงเสียงโหวตกัน ชวนให้จอมลาออก ย้ายไปเรียนคณะอื่นแทนที่ไม่เกี่ยวกับออกแบบหรือศิลปะเลย เพราะนอกจากเหนื่อยแล้วดูจะไม่น่ารุ่ง สรุปผลโหวตแรงมาก แต่ทำอะไรจอมไม่ได้ เพราะถือว่าเราน่ะ..เป็นผู้นำในชีวิตของเราเอง ถ้าไปเรียนอะไรที่ไม่อยากเรียนเลยสักนิด ไปเรียนก็ทุกข์ทรมาน จอมเลยบอกตัวเองว่า “เอาวะ นี่คือ สิ่งที่ฝัน เราต้องทำมันให้ได้ในแบบของเราล่ะวะ” จอมเลยเริ่มตั้งแต่ ไปฝึกงานเอง แบบไม่เอาเงินเดือนนะ ไปเอาประสบการณ์ เพื่อจะได้เก่งขึ้น อ่านหนังสือดูงานออกแบบเยอะ ๆ ว่าเค้าคิดยังไง ทำไมออกแบบแบบนี้อะไร สักพักมันก็เริ่มเห็นผล ค่อย ๆ เริ่มทำได้ดีขึ้น แต่อย่าถามนะว่าทุ่มแรงไปเท่าไหร่ คือ น่าจะเยอะไง.. เพราะตาดำเป็นแพนด้าโดยถาวรแล้วตั้งแต่ตอนนั้น

 

Sponsored Ad

 

แรงผลักดันที่ 2 .. “RESPONSIBILITY”

        คือ ที่บ้านมีปัญหาเรื่องเงินมาก แม่จอมทำงานคนเดียว พอ จอมเริ่มเข้าปี 2 แม่จอมearly retire จากงานที่ทำ จอมเลยจำเป็นที่จะต้องหาเงินเลี้ยงที่บ้านด้วย โดยจอมเริ่มแบ่งเวลามารับงานนอกด้วย เอาที่ได้ตังค์ มากน้อยก็เอาหมด เพราะเอามาช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน พร้อมกับหาประสบการณ์ พัฒนาสกิลไปด้วย คือ จะพูดให้ดีว่า อยากทำเยอะ ๆ จะได้เก่งขึ้นอย่างเดียวก็ฟังดูนางงามจัง คือ…ป่าวเลยยยยยยย -เรื่องมีความ”อยากเก่ง”น่ะเรื่องนึง แต่ที่ใหญ่กว่า คือ “ปากท้อง”นะจ๊ะ คือเก่งแล้วเกรดดี ยังกินไม่ได้ไง ไม่ทำให้ที่บ้านสบาย จอมมีกันกะแม่อยู่สองคน เราต้องเริ่มดูแลแม่ให้ได้ละ เพราะแม่เราเลิกทำงานแล้วตอนนั้น จอมเลยทำงานนอกเพิ่มเพื่อเหตุผลนี้ด้วย

 

Sponsored Ad

 

        สรุป แล้วความเทพยังไม่มี แล้วทุน พ.ก (พ่อกรู) หรือ ม.ก. (แม่กรู) จากที่บ้านก็ไม่มีจะให้….แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ได้ไปทำงานเมืองนอก? ความอยากไง! ความอยากล้วน ๆ อยากเก่ง อยากทำงานออกแบบสนุก ๆ อยากทำงานที่ชอบ อยากเลี้ยงแม่ได้ แต่พอจอมอยากปุ๊ป จอมก็เริ่มคิดว่าต้องทำยังไงจะได้มันมา เอ้า เลยบอกตัวเองว่า มาลองกันสักตั้ง มันอาจจะเป็นไปได้ เราเริ่มจากการเอาความไม่เก่งให้มันหายไปก่อน เอาทีละเรื่อง เก่งแล้วงานดี เงินดีมันก็คงมาแหละ อดทนเว้ยเฮ้ย!! ตามนั้น…

        CLEAR GOAL เป้าหมายชัดเจนแล้วต่อมา ความอยากใหญ่สุดคือ อยากไปทำงาน Landscape Architecture ที่ อเมริกา คือมันเกิดมาจากว่า ตอนที่กำลังเรียนสถาปัตย์ จอมต้องไปหา case study จากประเทศที่งานมันดีดี สวยเก๋ ดัง ๆ แล้วก็ดันงานแบบที่ชอบส่วนใหญ่มันมาจากอเมริกา เพราะประเทศนี้ทำงานสาธารณะเยอะมาก (เมืองไทยสมัยนั้นไม่มีเลย) และทำออกมาเจ๋ง ๆ ทั้งนั้น และที่นี่แหละที่ให้กำเนิดวิชาชีพที่เรียกว่า “ภูมิสถาปัตยกรรม” แต่จอมไม่ได้อยากแค่นั่งดูงานเค้า “เฮ้ย… เราอยากไปทำกับเค้าเลย อยากสร้างงานต้นแบบเจ๋ง ๆ ด้วยเลยไม่อยากตามดูงานแกแล้ว!!!” แค่นั้นแหละ ความฝันของจอมเลยก่อตัวเป็นภาพที่ชัดเจนมากว่า อยากทำงานออกแบบที่รักกับคนเก่ง ๆ ในอเมริกา ที่จุดประกายให้นักออกแบบคนอี่นต่อ ! อยากเป็นคนสร้าง ไม่อยากเป็นคน”ตาม”!!!

Sponsored Ad

        ฝึกวิชาสร้างงานดีดี คือ สายนี้เนี่ย จะได้งานดีไม่ดี มันอยู่ที่เราสร้างพอร์ตฟอลิโอ หรือผลงานมาดีแค่ไหน เราเลยต้องขยันไง จอมเลยเริ่มจากฝึกงานช่วงปิดเทอม จากในไทย ตอน ปี 2 และ ไปสิงคโปร์ตอน ปี 3-4 แต่กว่าจะได้ไปทำแต่ละที่ก็ต้องเตรียมตัว สมัครงาน

        ตอนปี 2 ฝึกงานตอนปิดเทอมประมาณ 2 เดือน นี่คือครั้งแรกที่ไปฝึกก่อนชาวบ้าน ฝีกงาน จ-ศ เลย ที่ไปฝึกได้ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ ตอนนั้นอยากไปฝึกเลยเดินไปหาอาจารย์เลยว่า พอจะมีที่ไหนอาจารย์จะแนะนำไปได้ไหม เพราะเราก็ประสบการณ์น้อยเนอะ ไม่มีอะไรเลย ไม่เอาตังก็ได้ แต่อยากเรียนมาก จะมีที่ไหนให้โอกาสไหม อาจารย์ก็แนะนำไปที่ L49 ค่ะ คือการฝึกงานนี่ได้อะไรเยอะมาก เพราะเป็นสิ่งที่ไม่รู้เลยตอนอยู่คณะ

        ตอนปี 3 จะปิดเทอมละ ฝึกอีก ๆๆ คราวนี้เนี่ย ส่งไปสมัครที่สิงคโปร์ เริ่มต้นที่ว่า มีรุ่นพี่จอมที่คณะทำงานที่บริษัทนั้นแล้วกลับมาเยี่ยมคณะ เลยทำให้รู้ว่า เฮ้ยยย มีคนไปสิงคโปร์เยอะด้วยอ่ะ เราจะไปได้ไหมนะ เลยลองคุยกับพี่เค้า แล้วพี่เค้าเลยบอกให้ลองส่งเอกสาร ส่งพอร์ตฟอลิโอมาที่ออฟฟิสดู นั่น…..เลยเป็นครั้งแรกที่มีพอร์ตฟอลิโอจริงจัง!! แล้วเค้าก็ยินดีรับ ให้เราไปทำตอนช่วงปิดเทอมหน้าร้อน มีนา – พ.ค นั่นคือ Adventure ครั้งแรก เลย กรี๊ดกับตัวเองในใจ ว่าปกติไม่เคยได้เที่ยวไหน จะไปต่างจังหวัดนี่ยังไม่ได้เลย เพราะไม่มีงบ แต่นี่จะไปทำงานต่างประเทศ!! และได้ตังค์ค่าทำงานด้วย

        แต่เอาละสิ…..เอาตังจากไหนไปละเนี่ย… พอญาติ ๆ รู้ก็ได้เงินสมทบทุนจากคุณตา และน้ามาประมาณ… 15,000 บาท เท่าไหร่หนูก็เอาค่า แต่ว่า…ก็ยังไม่พอ เพราะต้องมีค่ากินอยู่ก่อนได้เงินเดือนอีก! ตอนนั้นเลยยิ่งถาโถมรับงานนอก ไม่มีปฏิเสธ เท่านั้นไม่พอ ยังเริ่มหาทางอื่นอีก โดยการ..เอ๊ะ ตอนนั้น F4 ดังนิ..เออ เลยเริ่มทำการขายของค่ะ..ขายของเกี่ยวกะ F4 ขายกระจาย เรียกได้ว่า กลางวันเรียน เย็นทำงานโปรเจคเรียน สลับกับจัดการเรื่องขายของ และหลังเที่ยงคืนเริ่มลุยพวกงาน Freelance สุดท้าย ในเวลาสามเดือน หาเงินมาพอค่าตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ และพออยู่ได้เดือนแรกนิดหน่อย โห ชีวิตเส้นยาแดงผ่าแปดอ่ะ หวิดมาก

        พอหมดฝึกงาน ก็บินกลับมาเรียนต่อ คราวนี้ก็ทำให้ได้วิธีคิด วิธีทำงานแบบคนทำงานจริงมาใช้ประกอบการทำโปรเจคที่คณะมากกว่าเดิมอีก! ยิ่งที่สิงคโปร์มีตัวอย่างงานดีดีเยอะ เดินไปก็เจอ ทำให้พอกลับมารอบนั้น ผลการเรียน และคุณภาพงานออกแบบที่ทำออกมาดีมากกว่าเดิม กราฟการเรียนเราค่อย ๆ เริ่มขึ้นแล้ว….เฮ้ยยย มันเวิร์คว่ะ

        ตอนปี 4 เราก็เริ่มใกล้เรียนจบเข้าทุกที (คณะนี้เรียน 5 ปีค่ะ) มานั่งนึกเออ เราชอบงานที่ไหนบ้าง เราอยากทำงานแบบพวกสวนสาธารณะใหญ่ ๆ ซึ่งที่อเมริกามีเยอะ เออ งั้นลองตอนนี้เลย ไม่งั้นจะลองตอนไหน เลยตัดสินใจว่า จะลองลุย อเมริกาที่ฝันมานาน ออสเตรเลียที่ก็ไม่ค่อยรู้จักแต่ก็พอรู้จักงานน่าสนใจ อ่ะจะว่าไปฮ่องกงนี่ก็ไม่ไกลงานก็ดีมีรุ่นพี่อยู่ด้วย น่าสนใจ เลยลองสมัครไปหมดนั่นเลยค่ะ

ในการที่จอมหาข้อมูลว่าจะไปสมัครที่ไหนนั้น มันมาจาก 4 ที่ใหญ่ ๆ ค่ะ

        - ที่ที่รุ่นพี่จอมเค้าแนะนำมา หรือ เคยมีคนไทยไปทำ อันนี้ช่วยได้มาก เพราะเค้าจะแนะต่อให้ว่านอกจากที่เค้าทำ จะมีที่ไหนอีก

        - เคยผ่านตาในหนังสือ เลยลองไปหาข้อมูลในเวบ google

        - Search Keyword ใหม่ๆ ด้วย Google : Keyword เป็น Summer Internship, Design, Architecture แล้วก็เปลี่ยนชื่อเมือง ชื่อ ประเทศไป

        - เวบขององค์กรหลักของสายอาชีพนี้ในแต่ละประเทศ เช่นที่ อเมริกาจะมี ASLA.ORG เราก็ไปไล่ดูว่ามีใครรับสมัครฝึกงานไหม หรือมีใครที่งานได้รางวัลปีที่ผ่านๆมา ก็เลือกบริษัทที่เราอยากลองแม้เค้ายังไม่เปิด และก็เลือกบริษัทที่เค้าเปิดรับเด็กฝึกงาน

        ปีนั้นส่งไปสมัครที่อเมริกา ออสเตรเลีย โดนปฏิเสธจากที่นั่นมาพร้อมหน้าพร้อมตา คือ ชินชากับการโดนเด้งมาก… สมัครที่ฮ่องกง นั่นเค้ารับเราค่ะ แต่ว่าเค้าตอบมาช้ามาก ตอนนั้นไปเริ่มฝึกงานอยู่ที่สิงคโปร์เรียบร้อย(สรุปไปสิงคโปร์อีกรอบนั่นเอง) ก็เลยไม่ได้ไป ไปสิงคโปร์รอบนี้ จอมเลือกออฟฟิสใหม่ ทั้งที่จริงๆสมัครที่เดิม เค้าก็ยินดี เราก็ชอบออฟฟิสเดิมนะ แต่อยากลองต่อไป คราวนี้เลยเลือกท่ายาก เลือกที่เป็นสถาปนิกล้วน เพราะงานจะอีกแนว

        ปีนั้น ที่ฝึกงาน วัฒนธรรมออฟฟิศต่างจากที่แรกที่สิงคโปร์มาก อันที่ไปตอนปี 3 เค้าใจดี เฮฮา และพาไปหาอะไรกินบ่อย แต่ออฟฟิสต่างราวฟ้ากะเหว ที่นี่จะไม่ค่อยยุ่งกัน แต่งานหนัก วันเสาร์เจ้านายยังโทรเข้ามือถือจอมให้เข้าไปช่วยเลย แต่เค้าให้เราไปเจอลูกค้าเอง ก็ถือว่าเค้าให้โอกาสเราเยอะมาก แต่ว่าจะไม่ค่อยมีอะไรสนุกๆ ไม่มีกิจกรรมกระชับมิตร อันนี้จริง ๆ ก็เป็นเรื่องนอกเหนือจากงาน เอามาตัดสินอะไรมากไม่ได้ แต่ว่า…ความมันส์ที่สุดของการฝึกคราวนี้ คือ..คน”

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก jGal สมาชิกเว็บไซต์พันทิป, แอบอร่อย

บทความที่คุณอาจสนใจ