Elon Musk ผู้ชายที่เรียกร้องหาใส่ใจ "ความคิดเชิงลบ" เพราะมันมีประโยชน์มากสำหรับผม

LIEKR:

จะมีสักกี่คนที่รับฟัง "ข้อเสีย" ของตนเองได้ เหมือนผู้ชายคนนี้

    เมื่อพูดถึงชื่อ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) หลายคนคงไม่รู้สึกคุ้นหูมาก ในฐานะนักธุรกิจ วิศวกร และนักประดิษฐ์อัจฉริยะ เขาเป็นชายผู้สร้างความตื่นตาตื่นใจและพลิกโฉมการดำเนินชีวิตในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่ประกอบจากทั้งความเพ้อฝันของชายที่ได้รับฉายาว่า “โทนี่ สตาร์ค” 

    อีลอน มัสก์ ชายคนนี้มักมีมุมมองความคิดที่แปลกและน่าตื่นตาตื่นใจมาก เขาเคยพูดไว้ว่า “ผมคิดว่าคนธรรมดา ก็สามารถเลือกที่จะทำอะไรไม่ธรรมดาได้” ซึ่งหลายคนก็คิดว่านี่เป็นความคิดที่เป็นความจริง

 

Sponsored Ad

 

    ตอนนี้เรามาย้อนกลับไปช่วงวัยเด็กของมัสก์ เขาเป็นเพียงเด็กชายขี้อายที่ชอบขลุกตัวเองอยู่กับหนังสือการ์ตูนและเกมคอมพิวเตอร์ มัสก์เกิดและเติบโตในกรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานมาอยู่แคนาดา ตอนอายุ 17 มัสก์สมัครเข้าเรียนปริญญาตรีที่ Queen’s University แต่เรียนไปได้แค่ 2 ปี เขาก็ลาออกและย้ายไปเริ่มเรียนใหม่ที่ University of Pennsylvania

    หลังจากคว้าปริญญาตรีพร้อมกันถึง 2 ใบในสาขาเศรษฐศาสตร์และฟิสิกส์ ปี 1995 เขาตั้งใจจะเข้าศึกษาต่อปริญญาเอกในสาขาฟิสิกส์และพลังงานที่ Stanford University แต่หลังจากเรียนไปได้เพียง 2 วัน มัสก์กลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้ต้องการจะนั่งเรียนอยู่เฉย ๆ แบบนี้ มัสก์ตัดสินใจหยุดพักการเรียน และเริ่มต้นทำธุรกิจแรกที่มีชื่อว่า Global Link Information Network (ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Zip2)

 

Sponsored Ad

 

    ช่วงเวลานั้นมักส์เองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาอาศัยอยู่ในบริษัทที่เช่าไว้ นอนหลับบนโซฟา และอาบน้ำที่สโมสรท้องถิ่น เพราะราคาถูกกว่าเช่าอพาร์ตเมนต์ ทั้งที่พยายามอุทิศแรงกายทั้งหมดที่มีให้กับ Zip2 เพื่อบริหารให้บริษัทของเขาอยู่รอด 

 

Sponsored Ad

 

    สุดท้ายธุรกิจนี้ไปต่อไม่ไหว มัสก์จึงตัดสินใจขาย Zip2 ให้นักลงทุนเป็นเงิน 3.6 ล้านเหรียญ (ประมาณ 112 ล้านบาท) และนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจที่มีชื่อว่า X.com ซึ่งเป็นบริษัทธนาคารออนไลน์แห่งแรกของโลก เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยการมีคู่ค้าเป็น Barclays ซึ่งต่อมาภายหลัง บริษัทนี้ถูกนำไปควบรวมกิจการกับบริษัท Confinity จนเกิดเป็น Paypal หรือที่เรารู้จักกันในฐานะผู้นำกลุ่มธุรกิจการเงินออนไลน์ระดับโลก

    เมื่อพูดถึงอุปนิสัยของมัสก์แล้ว เขามีจุดที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ การทุ่มเทให้ทุกเรื่องที่เขาสนใจ แม้ว่าแต่ละเรื่องจะไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงกันได้เลยก็ตาม 

 

Sponsored Ad

 


.

    ในปี 2002 มัสก์ใช้ทุนของตัวเองเพื่อก่อตั้งบริษัทที่ชื่อ SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทที่ 3 ของเขา วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งก็คือ อยากให้มนุษย์เดินทางไปยังอวกาศ และขยายอาณานิคมบนดาวอังคาร ซึ่งความฝันในตอนแรกคือ “อยากตายบนดาวอังคาร”  ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่มัสก์ก็พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า เขากำลังหาวิธีที่จะทำให้มันเป็นความจริง

.

 

Sponsored Ad

 

     ในปี 2008 ชื่อของ อีลอน มัสก์ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการออกแบบจรวดชื่อ Falcon 9 ให้ NASA ความพิเศษของมันคือการเป็นจรวดที่สามารถทำภารกิจขนส่งดาวเทียมและสัมภาระต่าง ๆ ขึ้นไปบนสถานีอวกาศก่อนจะวนกลับมาจอดบนพื้นโลกได้ ด้วยแนวคิดที่ว่า “แทนที่จะปล่อยจรวดให้ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศหลังจากทำภารกิจเสร็จ จะเป็นอย่างไรถ้าเราสามารถนำมันกลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้ง” 

 

Sponsored Ad

 

    Falcon 9 จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ของวงการเทคโนโลยี

    นี่คือคำพูดของมัสก์ที่ว่า “ถ้าคุณจะเป็นผู้ก่อตั้งหรือซีอีโอ คุณจำเป็นต้องทำได้ทุกอย่างแม้คุณอาจไม่อยากทำ เพราะถ้าคุณไม่ทำ องค์กรก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีงานไหนที่ต้อยต่ำเกินไปทั้งนั้น”

Sponsored Ad

    มัสก์เป็นผู้บริหารที่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ลงมือในสนามร่วมกับพนักงานเสมอ และเขามักจะคลุกคลีอยู่กับทีมงานการทำวิจัยหรือทดลองงานต่างๆเสมอ เพื่อวางแผนและประเมินความเป็นไปได้


    มัสก์ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขาใช้เงินทุนส่วนตัวกว่า 70 ล้านเหรียญ (ประมาณ 2,185 ล้านบาท) ก่อตั้งบริษัท Tesla Motor ด้วยแนวคิดที่อยากปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเปลี่ยนมาสร้างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

     แม้ในตอนนั้นไม่เคยมีบริษัทไหนที่ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จมาก่อน แต่ในมุมมองของมัสก์แล้วไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลว ผิดพลาด หรือขัดแย้ง จึงเป็นกระบวนผลักดันให้เขาก้าวไปสู่ความสำเร็จทั้งสิ้น

     ครั้งหนึ่งมัสก์เคยให้สัมภาษณ์ว่า “จงให้ความสนใจความคิดเห็นเชิงลบ เรียกร้องหามันเพิ่มขึ้นอีกจากทีมหรือเพื่อนของคุณ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะให้มันกับคุณได้ แต่เมื่อได้มาแล้วจะเป็นประโยชน์แน่นอน” เป็นการตอกย้ำว่า ในการทำงานร่วมกัน การแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มัสก์มักมองหาความคิดเห็นเชิงลบมากกว่าคำชื่นชมเสมอ เพราะมันมักนำมาสู่ไอเดียใหม่ ๆ และแม้หลายไอเดียจะไม่ถูกหยิบมาใช้ มันก็ยังดีกว่าการปิดปากเงียบและเดินตามแผนที่เขาบอกโดยไม่คัดค้านอะไรเลย

 เรียบเรียงโดย LIEKR

บทความที่คุณอาจสนใจ