เพราะกลุ่มบริษัทชั้นนำคือ "ต้นเหตุ" ทำให้พื้นที่กว่าครึ่งหัน "ปลูกสวนปาล์ม"

LIEKR:

น้ำมันปาล์มมีในอาหารเกือบทุกชนิด แต่เบื้องหลังของการปลูกสวนปาล์มนั้นน่าเศร้า...

        ทุกครั้งที่เราไปเลือกซื้อขนมในห้างสรรพสินค้า คุณสังเกตบ้างไหมว่าส่วนประกอบกว่าครึ่งของขนมหวานทุกชนิดมีอะไรผสมอยู่ ? และไม่ว่าจะเป็นยาสระผม สบู่อาบน้ำ ครีมทาตา โลชั่น ขนมปังกรอบ บิสกิต ช็อคโกแลต มาการีน มันฝรั่งทอด ทุกอย่างล้วนมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มอยู่ โดยเฉพาะยอดขายช็อคโกแลตที่เป็นตัวกำหนดสำคัญของราคาน้ำมันปาล์ม ดังนั้นการเพาะปลูกสวนปาล์มจึงขยายพื้นที่ออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะน้ำมันปาล์มสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างไม่จำกัดแก่ผู้ผลิต ที่สำคัญคือป่าในประเทศเขตร้อนชื้นลดลงอย่างเป็นนัยยะสำคัญต่อการขยายตัวของสวนปาล์ม พื้นที่ธรรมชาติหลายแห่งถูกแปรสภาพเปลี่ยนเป็นสวนปาล์ม ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นและแหล่งที่อยู่อาศัยธรรมชาติของสัตว์ป่าลดลง

 

Sponsored Ad

 

        ไม่นานนี้มีตัวแทนจากกลุ่มกรีนพีชได้ออกมาต่อว่าบริษัทนายทุนหลายแห่ง ว่าเป็นเพราะบริษัทเหล่านี้เองที่ได้ทำลายพื้นที่ป่าเขตร้อนชื้นแห่งสุดท้ายบนเกาะสุมาตราไปแล้ว บางทีผู้คนอาจยังไม่ตื่นตระหนกกับข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่นี่หมายถึงสัตว์ป่าจำนวนมาก เช่น ช้าง ลิง ควายป่าและเสือ ที่ต้องสูญเสียแหล่งหาอาหารและพื้นที่อาศัยของพวกมันไป ซึ่งบางสายพันธุ์ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์อีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเบื้องหลังของการบุกเบิกทำสวนปาล์มบนเกาะคือบริษัทปลูกปาล์มขนาดใหญ่ที่ต้องการผลผลิตเพื่อป้อนให้แก่โรงงาน จากสถิติพบว่าพื้นที่ปลูกสวนปาล์มบนเกาะบาหลีได้กินพื้นที่ไปกว่า 50% หรือกว่า 5000 เฮกตาร์

 

Sponsored Ad

 

        เครือข่ายนักเคลื่อนไหวกลุ่มเขตป่าร้อนชื้นได้สรุปผลจากการศึกษาว่า หากไม่ทำอะไรเพื่อหยุดโรงงานและบริษัทเหล่านี้ ในอนาคตอาจไม่หลงเหลือพื้นที่ป่าร้อนชื้นไว้ให้คนรุ่นหลังอีกต่อไป และสัตว์ป่าบางสายพันธุ์ก็ต้องเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์อีกด้วย ผู้เกี่ยวข้องได้กล่าวว่า “หากไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อเริ่มนโยบาย 'หยุดทำลายป่า' เหล่าสัตว์ป่าทั้งหลายอาจต้องสูญเสียที่พักอาศัยและแหล่งหากินไป เพราะบริษัทเหล่านี้”

 

Sponsored Ad

 

        Gemma Tilack ผู้ดูแลกลุ่มเคลื่อนไหวบริษัทเกษตรกรรมได้กล่าวว่า บริษัทเหล่านี้มีความผิดที่ทุกคนรู้ดี แต่ในเวลานี้ยังไม่สามารถทำอะไรเพื่อหาคนมารับผิดชอบได้ และการพึ่งพากลุ่มเคลื่อนไหวอิสระก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร 

        หากพวกเราคาดการณ์ว่าปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ย่อมสามารถทำได้ดีกว่าพวกเรา แต่บริษัทชั้นนำระดับโลกเหล่านี้ก็ยังคอยหลบเลี่ยงที่จะรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว เราไม่อยากคิดเลยว่าในอนาคตแหล่งธรรมชาติอันสวยงามเหล่านี้จะกลายเป็นอย่างไร

 

Sponsored Ad

 

        กลุ่มบริษัทปลูกปาล์มดังกล่าวสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้ถึง 38% ของผลผลิตทั้งโลก เมื่อปี 2018 สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติได้ศึกษาและได้ข้อสรุปว่า “การผลิตน้ำมันปาล์มควรจะหยุดไว้เพียงเท่านี้” 

 

Sponsored Ad

 

        เพราะน้ำมันปาล์มมีอัตราผลิตต่อพื้นที่สูงกว่าพืชชนิดอื่นถึง 9 เท่า และเมื่อปี 2016 ผลผลิตน้ำมันปาล์มทั่วโลกสูงถึง 62.60 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.7 ล้านตัน มูลค่ารายได้ทั้งหมด 3.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐสูงขึ้น 2.4 พันล้านเหรียญ และประเทศอินโดนีเซียและมาเลเชียถือเป็นกลุ่มประเทศที่ผลิตน้ำมันปาล์มได้มากที่สุดในโลก

แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ