มุมมองการแต่งงานที่ถูกต้อง แต่งแบบช้า เลิกแบบรวดเร็ว แต่คนส่วนใหญ่ทำตรงข้าม

LIEKR:

คนส่วนใหญ่ทำตรงข้าม

    มีคนบอกไว้ว่า "การแต่งงาน ไม่ต้องการคำแนะนำ" เพราะมันเป็นประสบการณ์ของคุณเอง แต่ความในความเป็นจริง คือ ความสุขของการแต่งงานมีเจตคติในตัวมันเอง และเหตุผลของความล้มเหลวก็มีมากมาย

        สื่อต่างประเทศรายงานว่า เมื่อปีที่แล้วมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีนได้มีการสำรวจ “การ ห ย่ า ร้ า ง” พบว่าเหตุผลส่วนใหญ่ในการ ห ย่ า ร้ า ง ของหลายๆ คนเหมือนกัน

 

Sponsored Ad

 

        เหตุผลแห่งความล้มเหลวของการแต่งงานไม่มีอะไรมาก หลายคนเคยผ่านความทุกข์ของชีวิตแต่งงานมา เคยประสบกับความ เ จ็ บ ป ว ด จากการแต่งงาน หากเราได้มานั่งลงมาฟังประสบการณ์เหล่านั้น จะเป็นสิ่งที่ดีมากไม่ใช่หรือ

        ฉะนั้นเราต้องฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายในเวลาเดียวกันเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง ก็อย่าเชื่อเพียงว่าคำพูดฝ่ายเดียวจะทำให้เกิดความ ผิ ด พ ล า ด ด้านเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ไม่ว่าคุณจะแต่งงานกับใครก็ควรจดจำ 7 ข้อแนะนำนี้ไว้

 

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

 

Sponsored Ad

 

1) ก่อนแต่ง : พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของกันและกัน

        พิธีกรชื่อดังจากต่างประเทศ เคยพูดไว้ว่า “ความรัก อาจแยกจากชีวิตได้ แต่การแต่งงานไม่ใช่  เพราะการแต่งงานคือชีวิต”

        ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จำเป็นต้องทำความเข้าใจไลฟ์สไตล์ของฝ่ายตรงข้ามก่อน ในขั้นตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายควรพูดคุยกันอย่างเปิดอก แสดงวิถีชีวิตที่แท้จริงของตนเองออกมา เพื่อปะทะกันระหว่างคนทั้งสองจะมีผลลัพธ์อย่างที่ไม่คาดคิด

        การดำเนินชีวิตที่มีความสอดคล้องกัน จะทำให้ความรู้สึกมีประสิทธิภาพดี หากมีวิถีชีวิตที่ไม่สอดคล้องกัน ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบใหม่อีกครั้ง

 

Sponsored Ad

 

        หากคุณเป็นคนชอบกินข้าวข้างทาง แต่เขาชอบกินเนื้อสเต็ก คุณยอมไปกินเป็นเพื่อนเขาไหม ใช้มีดที่คุณไม่ถนัด คุณถนัดไปนั่งเก้าอี้พลาสติกเพื่อนั่งกินสุกี้หม้อไฟที่ทำให้เหงื่ออาบไปทั้งตัว ชีวิตแบบนี้ก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน

        แต่ทว่าหากเขาชอบกินเนื้อสเต็กและดูถูกอาหารข้างถนนของคุณ  มองว่าอาหารเหล่านั้นชั้นต่ำ ก็เลิกกันดีกว่า เมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีสัญญาวิถีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาจะต้องสามารถยอมรับวิถีชีวิตของกันและกันได้

        “ชีวิต” คือการหลอมไลฟ์สไตล์ของสองคนรวมกัน มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะดำเนินชีวิตด้วยการมีทัศนคติที่เห็นอกเห็นใจกัน และให้อิสระแก่กัน แบบนี้แล้วการแต่งงานจึงจะมีความสมบูรณ์แบบและมีความสุข

 

Sponsored Ad

 

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

2) ก่อนแต่งงาน : ดู "ความประพฤติขั้นต่ำ" ของกันและกัน

        ผู้หญิงตอนแต่งงานสามารถวาดฝันเรื่องเงิน แต่งหน้า วาดนิสัยความชอบ วาดอะไรก็ได้ แต่ได้โปรดอย่าวาดฝันคำนั้นที่ว่า “เขาต้องดีกับฉัน” อย่าเพียงเพราะว่าในค่ำคืนวันนั้นเขาหยิบเสื้อกันหนาวมาให้ หรือเตรียมโจ๊กอาหารเช้าให้

 

Sponsored Ad

 

        อย่าเพียงเพราะว่าเขาถามไถ่ว่า “หนาวไหม?” ในคืนที่ฝนตกหนักก็ให้เขาเป็นผู้ชายในอดุมคติของคุณ

        คำพูดที่ดีสามารถพูดให้คนอื่นฟัง ความโรแมนติกก็สามารถทำได้ แต่การทุ่มเทนี้อาจไม่มีความจริงใจเลยก็ได้

        ฉะนั้นควรไปดูชีวิตที่ขั้นต่ำของเขา ไปดูใบหน้าของเขาตอนล้มเหลวว่าจะเป็นอย่างไร

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

 

Sponsored Ad

 

        "การได้พบใครสักคน สิ่งสุดท้ายที่ต้องการพึ่งพาก็คือ จุดต่ำที่สุดในชีวิต การได้รู้จักกันมา 10 ปี สิ่งสุดท้ายที่ต้องดูก็คือ จุดตกต่ำที่สุดของเขา ว่าคุณสามารถยอมรับได้ไหม?" 

        เมื่อได้เห็นด้านที่แย่ที่สุดของเขา คุณจะยอมรับเขาได้ไหม หากไม่ได้ก็อย่าสานสัมพันธ์ต่อไปเลย เพราะ “จุดต่ำสุด” หรือ ด้านแย่ของเขา คือสิ่งกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนสองคนที่จะเข้ากันได้ สิ่งนี้ถึงจะตัดสินว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไปได้ไกลแค่ไหน?

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

Sponsored Ad

3) ก่อนแต่งงาน : ฟังคำแนะนำของพ่อแม่ ผู้ใหญ่บ้าง

        การแต่งงานคือการนับญาติของทั้งสองฝ่าย  หากผู้ใหญ่ต่อต้าน หรือปฏิสัมพันธ์กันไม่ได้ ก็อย่าให้เกิดการแต่งงานนี้เลย เพราะนี่คือที่มาของความโศกเศร้าทุกประเภทที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในอนาคต

        การเชื่อในการตัดสินใจของพ่อแม่ เพราะสายตาการมองคน ความคิดแหลมคมกว่าลูกแน่ 

        เคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอแต่งงานกับผู้ชายที่ซื่อสัตย์ 

        ฝ่ายชายมีฐานะที่ยากจน ยังมีน้องชายน้องสาวให้ต้องดูแลอีก เพราะพ่อแม่ไม่มีกำลังในการดูแลตนเองในยามแก่เลย

        ในสายตาของผู้หญิงคนนี้คิดอย่างเดียวว่า ขอแค่ได้แต่งงานกับชายที่รัก็เพียงพอ ครอบครัวเป็นเพียงของแถม

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

        พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแต่งงานครั้งนี้ เพราะพ่อแม่ดูออกว่าครอบครัวที่มีปัญหาเหล่านี้ หากแต่งไปรั้งจะเหนื่อยเปล่าๆ แต่ลูกสาวไม่ยอมฟัง พ่อแม่พยายามห้ามและตักเตือน แต่พอแต่งไปได้ 2 ปี 

        น้องชายและน้องสาวไม่มีเงิน แม่สามีก็รอค่าครองชีพจากพวกเขา ชีวิตของเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันกับครอบครัวของฝ่ายชายที่แออัดเต็มบ้าน ใช้ชีวิตด้วยความลำบาก หาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัวฝ่ายชาย

        หากว่าพ่อแม่ต่อต้านการแต่งงาน ก็ต้องฟังหูไว้หู นำไปครุ่นคิดดูบ้างก็จะดีว่า ทำไมพ่อแม่ถึงต่อต้าน? เพราะพวกเขาเห็นอะไรเป็นปัญหาหรือเปล่า? การทะเลาะกับคนในครอบครัวจนแตกหัก มันไม่ดีเลย เพราะบนโลกนี้คนที่จะทะนุถนอมคุณมีเพียงพ่อแม่เท่านั้นที่จริงใจเป็นอันดับที่หนึ่ง

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

4) แต่งงานแล้ว:ดูว่าฝ่ายตรงข้ามยอมเสียเงินเท่าใด

        การแต่งงานนั้นสำคัญมากสำหรับผู้หญิง เคยมีดาราต่างประเทศ เคยกล่าวว่า “หากวันหนึ่งมีผู้ชายมาขอลูกสาวแต่งงาน และบอกว่าจะไม่จัดงานแต่ง” เขาจะบอกให้ลูกสาวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้”

        เพราะถ้าคุณรักใครสักคน แม้แต่พิธีกรรมอันเคร่งขรึมก็ไม่เต็มใจที่จะให้ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

        เพราะนี่คือ การดูถูกลูกสาว ไม่เพียงเท่านี้ยังเป็นการดูหมิ่นพ่อแม่ของฝ่ายหญิงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือการไม่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแต่งงาน

        ผู้ชายขอแต่งงานกับคุณอย่างไร ก็จะปฏิบัติต่อคุณอย่างนั้นในอนาคตเช่นกัน!

        ไม่ใช่ว่าจะดูที่เงินทองที่ใช้ไป แต่ดูว่าเขาเต็มใจทุ่มเทเพื่อจะขอคุณแต่งงานอย่างเหมาะสมหรือเปล่า?

        ในงานแต่งไม่จำเป็นต้องควักเงินทองออกมามากมาย เรียบง่ายแต่อบอุ่น ให้ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายได้มาร่วมเป็นพยายานก็พอ

        ความรู้สึกของพิธีกรรมมีความสำคัญอย่างไร? ผู้ชายที่ใช้เวลา ความจริงใจ ความทุ่มเทอยู่กับภรรยา กับผู้ชายที่แต่งภรรยาเข้าบ้านโดยไม่ยอมเสียเงินในการจัดงานแต่ง มันแตกต่างกันมากในความคิดของผู้หญิง? 

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

        การเคารพคุณจึงจะยอมทุ่มเทแรงกาย แรงใจเพื่อคุณ เพราะยินดีต้อนรับคุณถึงได้ยอมสละเวลาเพื่อคุณ เพื่อปกป้องจึงยอมสละหัวใจ แม้แต่ความจริงใจในการจัด “งานแต่งงาน” ก็มีให้ไม่ได้ แบบนี้ถ้าคุณแต่งไปจะมีที่ยืนในครอบครัวเขาไหม? 

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

5) หลังแต่งงาน : อย่าลืมยกย่อง ชื่นชมฝ่ายตรงข้าม

        มีการสำรวจพบว่า ในชีวิต “คนโสด” หากมีคนรักที่ชอบบ่นและระบายให้อีกฝ่ายฟัง กว่า 70% ของผู้ชายบอกว่าเลือกที่จะอยู่เป็นโสดดีกว่า ในทำนองเดียวกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเลือกแบบเดียวกัน

        ในการแต่งงาน สิ่งสำคัญคือ จะต้องค้นหาจุดแข็ง ข้อดีของกันและกัน ชื่นชม ยกย่องฝ่ายตรงข้ามเสมอ 

        หากคุณจ้องมองแต่จุดบกพร่องของกันและกัน คุณจะกลายเป็นคนที่น่ารำคาญและน่าขยะแขยงมากขึ้นและความขยะแขยงของคุณจะทำให้อีกฝ่ายเกลียดคุณ

        ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ที่เขามองว่าคุณเป็นคนแกร่งนั้นจะค่อยจางหายไป จะดีกว่าถ้าคุณใช้สายตาของคุณเองเพื่อก่อสร้างแสงแห่งความงดงามของซึ่งกันและกัน

การเป็นคู่สมรสที่ดี

        ลองยกย่อง พูดหวาน จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและดีมากขึ้น และหากว่าชีวิตคู่มีสิ่งใหม่ๆ มาเติมเต็มและกระตุ้นตลอดเวลาก็จะทำให้ทั้งคู่เกิดความตื่นเต้นกับชีวิตมากขึ้น

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

6) หลังแต่งงาน : ดูแลสมบัติของตนเองให้ดี

        การมีอาชีพมีรายได้เป็นของตนเองนั้นเป็นหัวข้อที่พูดถึงนานแล้ว หลายคนรู้และเข้าใจ แต่น้อยคนยากที่จะทำได้  หลังจากแต่งงานคุณจะทำงานต่อ หรือเป็นภรรยา แม่บ้านเต็มเวลา เป็นความคิดส่วนตัวที่ไม่มีใครสามารถนำพาคุณได้ แต่ว่า อย่าลืม ว่าชีวิตหนทางที่คุณเลือกนั้น คุณเองต้องรียนรู้ที่จะยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขี้นเองด้วย

        หากคุณยังคงทำงานต่อ คุณก็จะต้องทนแบกรับภาระมากขึ้นเกี่ยวกับครอบครัวและที่ทำงาน ส่วนการเป็นภรรยาเต็มเวลาก็ต้องอดทนเกี่ยวกับงานบ้านที่ทำไม่รู้จักจบจักสิ้น

        ฉะนั้นคุณต้องรักษาความสมดุลการทนทุกข์ ความลำบากของทั้งคู่ก็คือ: ปกป้องทรัพย์สินของตัวคุณเองให้ดี

        “การปกป้องทรัพย์สิน” คือ การเตรียมวางแผนเส้นทางให้กับตัวเอง เพราะในอนาคต แม้ว่าการแต่งงานจะล้มเหลวหรือไม่ คุณก็ยังมีหลักประกันการมีชีวิตขั้นพื้นฐานไว้อยู่

        ฉะนั้นสมบัติก่อนและหลังแต่งงานอย่าเอามารวมกันทั้งหมด หากวันใดชีวิตแต่งงานล้มเหลวก็จะสิ้นเนื้อบันดาลตัว

(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)

    7.หลังแต่งงาน: อย่าเปรียบเทียบความสุข

        บางคนคิดว่าการแต่งงานเป็นวิธีที่จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ความคิดนี้โง่สิ้นดี คุณมีความสามารถมากแค่ไหน ชีวิตการแต่งงานก็มากแค่นั้น ไม่ใช่ว่าพอแต่งงานแล้วมาตรฐานการครองชีพจะสูงขึ้น เราแต่งงานกับคน ไม่ใช่เครื่อง ATM อยากเข้าใจจุดนี้ ก็ควรลดการเปรียบเทียบภายในชีวิตการแต่งงาน

        ผลของการเปรียบเทียบคือความ เ จ็ บ ช้ำ เพราะว่าคนเรามักใช้ทั้งหมดที่มีเพื่อเปรียบเทียบคนอื่น ท้ายที่สุดก็สงสารและรู้สึกน้อยใจตนเอง

        การเปรียบเทียบนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะชีวิตคนเรานั้นยาวมาก อย่าเอาช่วงเวลาสั้นๆ มาเปรียบเทียบ บางคนมีเงินมากกว่าคุณ แต่เขาก็มีอายุมากกว่าคุณเช่นกัน  

        ฉะนั้นหลายครั้งความกังวลใจมากมายเกิดจากการเปรียบเทียบ เห็นรายได้ของคนอื่นสูงมาก แต่พอมองของตนเองก็นิดเดียวจึงทำให้ไม่สบายใจ

        แต่เคยคิดไหมว่ามีคนรายได้น้อยกว่าคุณ หรือบางคนแทบไม่มีอะไรเลย มีแต่คำด่าว่า โดนทุบตี พวกเขาจะอยู่อย่างไร?

        หวงแหนชีวิตการแต่งงานให้ดี  มองเห็นข้อดีที่อีกฝ่ายทุ่มเทแสดงออก นี่ถึงจะเรียกว่า “เป็นของคุณจริงๆ”

        1 ปีมี 4 ฤดู มี 365 วัน มีวันที่แดดออก วันที่ฝนตก 

        เช่นกัน ชีวิตการแต่งงานนั้นยืนยาว เหนื่อยล้า ว้าวุ่นใจ ผิ ด ห วั ง ก็ปะปนไป มองทุกอย่างให้ทะลุ พยายามมีชีวิตแห่งความรักที่ร้อนระอุตลอดเวลา

        มุมมองชีวิตการแต่งงานที่ถูกต้อง คือ “การแต่งงานแบบช้าๆ และ ห ย่ า ร้ า ง อย่างรวดเร็ว” แต่หลาย ๆ คนกำลังทำตรงกันข้ามเป็นส่วนใหญ่ ก่อนการแต่งงานไม่รู้จักกันให้ดีทะลุปรุโปร่ง พอหลังจากแต่งงานแล้ว ก็เกิดปัญหามากมายตลอดครึ่งชีวิตหลัง แต่ก็ไม่กล้าเดินออกมาจากจุดนั้น

        โปรดจำไว้เสมอว่า “การแต่งงานเป็นทางเลือกหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่วิถีชีวิต”

        คนที่ไม่ได้แต่งงาน ไม่แตกต่างไปกว่าคนที่ แต่งงานผิดคู่ 

        คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อน คุณต้องฟังคำแนะนำจากหลายๆ คนและเลือกคนที่ดีที่สุดที่จะเดินจับมือกันไปตลอดชีวิต!

ที่มา : funny

แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR