เส้นทางสู่บัลลังก์ขนไก่โลกของ "บาส-ปอป้อ" กว่าจะก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

LIEKR:

มือ 1 ของโลก ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาได้เพราะฝีมือและการฝึกซ้อมล้วน ๆ ต้องยอมรับเลยว่าปีนี้ทัพนักกีฬาทีมชาติไทยของเราสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศกันได้อย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว #บาสปอป้อ #แบดมินตัน

        เรียกได้ว่าเป็นคู่ผสมที่ลงตัวสุด ๆ ไปเลยสำหรับ "บาส" กับ "ปอป้อ" ที่ตอนนี้กำลังเป็นกระแสในวงการกีฬาไทย เนื่องจากเพิ่งคว้าแชมป์แบดมินตัน เจแปน โอเพ่น 2022 ไปหมาด ๆ และยังเป็นแชมป์ที่ 3 ของปีนี้อีกด้วย เรียกได้ว่ามือ 1 ของโลก ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

        อ้างอิงจากสหพันธ์แบดมินตันโลก หรือ BWF ที่ล่าสุดได้ประกาศอันดับโลกนักกีฬาแบดมินตันประจำสัปดาห์ออกมา ในส่วนของนักกีฬาประเทศไทยนั้น ปรากฏว่า ในประเภทคู่ผสมของไทย "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ "ปอป้อ" ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่แม้จะพลาดท่าตกรอบ 3 ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2022 ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็มาแก้ตัวได้แบบทันควัน ด้วยการคว้าแชมป์ เจแปน โอเพ่น 2022 ได้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายนผ่านมา ทำให้ทั้งคู่ยังรักษาตำแหน่งมือ 1 ของโลกไว้เหนียวแน่น

 

Sponsored Ad

 

        แต่กว่าทั้งคู่จะก้าวมาสู่มือ 1 ของโลกได้ ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ผ่านอะไรมาก็เยอะ วันนี้เราจึงจะพาไปย้อนชมผลงานของคู่ผสมเมืองไทยว่าทั้งคู่เริ่มต้นเมื่อไหร่และได้รับเหรียญจากรายการไหนไปบ้าง

        สำหรับการก้าวเข้าสู่วงการแบดมินตันของ บาส เดชาพล พัววรานุเคราะห์ เริ่มต้นจากเจ้าตัวชื่นชอบในการเล่นกีฬามาตั้งแต่ยังเด็ก ได้ลองเล่นกีฬาหลายประเภทสุดท้ายก็มาตกหลุมรักแบดมินตัน บาสได้เข้ามาคลุกคลีวงการกีฬานี้อย่างจริงจัง ก่อนจะสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองโดยการ คว้าแชมป์เยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย ทั้งรุ่น 14 ปี และ 16 ปี 

 

Sponsored Ad

 

        นั่นจึงทำให้ บาส มีโอกาสได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมโครงการ เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ ในปี 2553 ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกที่ได้เดินทางบนเส้นทางอาชีพนักตบลูกขนไก่อย่างเต็มตัว ต่อมา "โค้ชโอม" เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอนของโครงการ เอสซีจี แบดมินตัน อะคาเดมี่ มองเห็นแววว่า บาส เหมาะกับการเล่นคู่มากกว่า จึงได้ลองจับคู่กับ "สกาย" กิตตินุพงษ์ เกตุเรน และมันก็ประสบความสำเร็จจริง ๆ เนื่องจาก บาส-สกาย พากันคว้าแชมป์เยาวชนชิงแชมป์โลก 2014 ที่ประเทศมาเลเซีย ได้สำเร็จ ตั้งแต่นั้นมา บาส ก็ไม่เคยกลับไปเล่นเดี่ยวอีกเลย

 

Sponsored Ad

 

        ด้านปอป้อเริ่มต้นจากคุณพ่อ คุณแม่ ที่เคยเป็นนักแบดมินตันในสมัยที่ยังเรียนอยู่ ทำให้ปอป้อคลุกคลีอยู่ในวงการแบดมินตันมาตลอด แต่ในช่วงแรกไม่ได้จริงจังอะไรมาก แต่พอประสบความพ่ายแพ้กลับทำให้ ปอป้อ มีแรงกระตุ้นและเริ่มหันมาจริงจังในการเล่นแบดมินตันมากขึ้น

        ซึ่งในประเภทหญิงเดี่ยวเธอสามารถคว้าแชมป์ไปถึง 2 รุ่นเลยทีเดียว และ ในประเภทหญิงคู่เธอได้จับคู่กับ "นา" รจนา จุฑาบัณฑิตกุล จนคว้าอันดับ 3 ในการแข่งขัน เยาวชนชิงแชมป์โลก 2009 และ เยาวชนชิงแชมป์เอเชีย 2009 ที่ประเทศมาเลเซียอีกด้วย และในปีเดียวกัน ปอป้อ ก็ยังคงเล่นในประเภทหญิงเดี่ยวและสามารถเอาชนะ "เมย์" รัชนก อินทนนท์ ทำให้คว้าแชมป์มาเลเซีย อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ 2009 ไปครองได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเธอเป็นนักแบดมินตันที่ประสบความสำเร็จในการเล่นถึง 3 ประเภทอีกด้วย

 

Sponsored Ad

 

        จุดเริ่มต้นของคู่ผสมของเมืองไทยเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2015 บาส กับ ปอป้อ ได้เริ่มจับคู่เล่นกันในประเภทคู่ผสม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคู่ผสมที่ลงตัวและประสบความสำเร็จกันอย่างมาก โดยทั้งคู่ เริ่มลงแข่งขันด้วยกันเป็นครั้งแรกในรายการ ชิงแชมป์ประเทศไทย 2015 ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์แรกจึงทำให้ บาส-ปอป้อ ยังไม่เข้าขากันมากนัก แต่ก็ถือว่ามีแววที่ดีในการลงครั้งแรก 

        หลังจากนั้นมาทั้งคู่ก็ต่างฝึกซ้อมจนมีการเล่นที่ไปด้วยกันแบบสุด ๆ เรียกได้ว่า "มองตาก็รู้ใจ" ซึ่งทั้งคู่ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีครึ่งก็สามารถทำคะแนนไต่ขึ้นไปอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกได้สำเร็จ เนื่องจากได้ตำแหน่งรองแชมป์ 2 รายการด้วยกัน 

 

Sponsored Ad

 

        จนกระทั่งในปี 2017 ทั้งคู่ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการคว้าแชมป์ครั้งแรกได้สำเร็จในรายการ โยเน็กซ์ สวิส โอเพ่น 2017 รวมถึงคว้าเหรียญทอง ซีเกมส์ 2017 ที่ประเทศมาเลเซีย และยังคว้ารองแชมป์ได้อีก 3 รายการ ได้แก่ ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2017, โอยูอี สิงคโปร์ โอเพ่น 2017 และศึกชิงแชมป์เอเชีย 2017 ที่ประเทศจีน อีกด้วย

        ต่อมาในปี 2018 บาส-ปอป้อ คว้ารองแชมป์รายการ เดนิสา เดนมาร์ก โอเพ่น 2018 ก่อนจะเก็บคะแนนสะสม เข้าไปเล่นในรายการ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2018 ที่ประเทศจีน และผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้อีกด้วย 

 

Sponsored Ad

 

        และในปี 2019 ถือว่าเป็นปีเงินปีทองของ บาส-ปอป้อ และได้กำเนิด คู่เต็งชิงเหรียญเลยก็ว่าได้ เนื่องจากทั้งคู่คว้าแชมป์ได้ถึง 3 รายการ ได้แก่ สิงคโปร์ โอเพ่น 2019, โคเรีย โอเพ่น 2019 และ มาเก๊า โอเพ่น 2019 นอกจากนั้นยังคว้ารองแชมป์ได้อีก 3 รายการ ซึ่ง 1 ในนั้น คือการแข่งขัน ชิงแชมป์โลก 2019 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศของศึก เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2019 ได้อีกสมัย 

        ส่วนในปี 2020 ทั้งคู่ก็ยังสร้างชื่อเสียงของตัวเองได้อีกครั้งเมื่อคว้ารองแชมป์รายการใหญ่อย่าง โยเน็กซ์ ออล อิงแลนด์ โอเพ่น 2020 ไปครองได้สำเร็จ

Sponsored Ad

        จนมาถึงปี 2021 ฟอร์มการเล่นของทั้งคู่เริ่มโหดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบาส-ปอป้อ สามารถคว้าแชมป์ระดับ Super 1000 ได้เป็นครั้งแรก แถมยังเป็นการคว้าแชมป์ 2 รายการติดต่อกัน ในรอบ 2 สัปดาห์ ได้แก่ โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น และ โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น ซึ่งทำการแข่งขันในประเทศไทยนั่นส่งผลให้ทั้งคู่ เก็บคะแนนสะสมมาเป็นอันดับ 3 สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรายการใหญ่อย่าง เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2020 ได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนที่ บาส-ปอป้อ จะโชว์ฟอร์มอันสุดยอด คว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง พร้อมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการเป็นนักกีฬาคู่ผสมคู่แรก ที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในรายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ในรอบ 3 สัปดาห์ติดต่อกันได้อีกด้วย

        ซึ่งล่าสุดคู่มือ 1 ของโลกขวัญใจชาวไทย ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเอาชนะ ยูตะ วาตานาเบะ กับ อาริสะ ฮิกาชิโนะ คู่มือ 3 ของโลกจากญี่ปุ่น ผงาดคว้าแชมป์แบดมินตัน เจแปน โอเพ่น เข้าวินรายการที่ 3 ในปี 2022 ต่อจากรายการ เยอรมัน โอเพ่น, สิงคโปร์ โอเพ่น พร้อมรับเงินรางวัลไปถึง 2 ล้านบาทอีกด้วย เท่ากับว่าตั้งแต่มาจับคู่กัน บาส-ปอป้อ นักตบลูกขนไก่ขวัญใจชาวไทย คว้าแชมป์รวมทั้งสิ้นทั้งหมด 15 รายการด้วยกัน 

ที่มา : bignews

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ