รู้ไหม! เหตุผลหลักที่ "ลูกจ้างลาออก" ไม่ใช่เพราะเงินเสมอไปหรอก
LIEKR:
ที่ต้อง “ลาออก” ไม่ใช่เพราะเงิน! เสี่ยวเฉา ทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้มากนานกว่า 6 ปีแล้ว พอเขายื่นจดหมายลาออก แต่เจ้านายกลับไม่อยากปล่อยเขาไป จึงเรียกคุยมากกว่า 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้
สุดท้าย เจ้านายทนไม่ไหวจึงงัดประโยคเด็ดออกมาว่า: “ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เพราะเงินหรอ อย่าแกล้งโง่หน่อยเลย” คำพูดนี้ทำร้ายน้ำใจของเสี่ยวเฉามาก
ในความเป็นจริงแล้ว หลายคนตัดสินใจ “ออกจากงาน” ของพวกเขาไม่ใช่เพราะเงินเสมอไป แล้วมันเพราะอะไรกัน? ต่อไปนี้คือเหตุผลที่สะกิดจิตใจของลูกจ้างมาก
1. พรุ่งนี้ยังจะสามารถกินเนื้อสัตว์ได้หรือไม่?
คนเราไม่อาจเป็นศัตรูกับสมัยนิยมได้ และการงานก็เป็นเช่นนั้น
สำหรับบางอุตสาหกรรมทำงานตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน
และบางอุตสาหกรรมก็ทำงานก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นในยามเช้า
มีอนาคตที่สดใส
มีบริษัท อินเทอร์เน็ตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ก็มีบริษัท แบบดั้งเดิมมากมายที่ค่อยๆปิดตัวลงอย่างช้าๆ
เมื่ออุตสาหกรรมไปได้ดี เจ้านายก็กินเนื้อ ส่วนลูกจ้างก็ได้แค่ดื่มน้ำซุป
เมื่ออุตสาหกรรมดิ่งลง เจ้านายก็ต้องดื่มแค่น้ำซุป
ส่วนลูกจ้างก็ได้ดื่มแค่ลมที่พัดเข้ามาจากทิศตะวันตกเท่านั้น
ฉะนั้น เพื่อการพัฒนาอาชีพของตนเอง
เพื่อการดำรงชีวิตในระยะยาวของครอบครัว
จึงเลือกที่จะ “ออกจากงาน” เพื่อย้ายไปที่อุตสาหกรรม บริษัทที่มีอนาคตมากกว่านี้
ผู้ประกอบการชาวจีน เล่ยจวิน กล่าวว่า: “หมูที่ยืนอยู่ต้นลมก็สามารถบินได้ ในทางตรงกันข้าม หากลมหยุดแล้ว แม้ว่าสองมือสองเท้าจะพยายามเพียงใดก็ต้องตกลงมาอยู่ดี”
2. ไปข้างหน้าต่อก็สิ้นหวัง ต้องลองเปลี่ยนรันเวย์ใหม่
สำหรับผู้มาใหม่ในที่ทำงาน
ต้องพยายาม พัฒนา ผลักดันตนเองจากจุดที่ต่ำสุดไปสู่จุดที่สูง เพิ่มเงินเดือน
แต่เมื่อไปอยู่ในตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว
หลายบริษัทก็มีเพดานขึ้นมา
หลายคนตลอดทั้งชีวิตก็อยู่ได้แค่ระดับกลาง
เพราะว่าผู้นำระดับบนส่วนใหญ่ก็คือญาติๆของเจ้านายนั้นเอง
อาจมอบหมายให้ไปต่างประเทศ
บางตำแหน่งเป็นเพียงหลุม
หากไม่ชราจนปลดเกษียณก็ไม่มีใครสามารถขึ้นไปแทนที่ได้
แต่เมื่อปลดเกษียณออกไป ก็มีกลุ่มคนมากมายที่อยากแย่งตำแหน่ง
ดังนั้น คุณสมบัติ ความสามารถของคนคนหนึ่งเมื่อมาถึงระดับหนึ่ง
เมื่อปีนขึ้นไปจนสุดแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้เปลี่ยนลู่วิ่งเพื่อเดินหน้าต่อไปได้
3.มองทะลุปรุโปร่งแล้ว
หากทำงานในบริษัทนานแล้ว
ทำให้มองเห็นปัญหาต่างๆมากมายของบริษัท
ทำให้ยิ่งมองก็ยิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น
และเจ้านายมีความกล้าหาญและมุ่งมั่นที่จะปฏิรูป
หรือกำหนดอนาคตของ บริษัท และพนักงานหรือไม่?
การจัดการและการกำกับดูแลของบริษัทหลายแห่งไม่ได้รับการประคับประคอง
ทุกๆวันก็ได้แต่โทษกระบวนการหรือระบบ
ได้แต่ถกเถียง บังคับให้ต้องตอกบัตรเข้า-ออก
จนในที่สุดก็ทำให้ผู้คนเสียความรู้สึก
คนฉลาดหลายคนก็เลือกที่จะหางานใหม่ก่อนตกต่ำจมลงไปกว่านี้
4.คนเราสามารถขยายพองตัวได้
ยิ่งบริษัทเติบโตใหญ่มากเท่าไหร่ เจ้านายก็จะยิ่งพองตัวมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับลูกจ้างชุดเก่าที่ต่อสู้มากับบริษัท แต่กลับโดนหาว่าขอมากไป
ถูกรังเกียจว่าทำงานไม่ดีเท่าคนรุ่นใหม่ที่จบสูงกว่า
ลูกจ้างก็พองตัวเป็นเช่นกัน หยิ่งยะโสและภูมิใจในตนเอง
ในบางครั้งไม่เห็นหัวเจ้านาย พูดจาเห็นแก่ตัว
5. ปัญหาของความเป็นธรรม
การพูดโบราณว่าไว้: "ไม่กังวลเกี่ยวกับการขาดคะแนน แต่กังวลเกี่ยวกับการกระจายไม่สม่ำเสมอ"
เจ้านายหลายคนให้ความสนใจกับเงินค่าจ้างที่จ่ายไป
น้อยคนมากที่จะพิจารณาถึงความสมดุล ความเสมอภาคของค่าจ้างโดยรวม
ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ “ลูกจ้างร้องไห้ด้วยความหิวโหย”
ใครอยากได้ก็ให้คนนั้น ส่วนคนที่ไม่เรียกร้องก็คิดว่าเขาคงพอใจแล้ว
6. สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่
หลายคนเมื่อเริ่มเติบโตขึ้นตามอายุ
ก็เริ่มไล่ตามความสมดุลของการงานและชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนกำลังเดินมาถึงช่วงวัยกลางคน
เพราะข้างบนมีคนชรา ข้างล่างก็มีลูกๆ
และเริ่มเข้าใจว่า "บ้านคือสิ่งที่สำคัญที่สุด"
7.คนที่มีความสามารถทำมากก็เหนื่อยมาก
หากคุณไม่สามารถทำงานได้มากขึ้น ก็จะอยู่ได้ไม่นาน
ในรายการขายอาหารจานร้อน "ร้านอาหารจีน" เพื่อให้ลูกค้าพอใจ
หวงเสี่ยวหมิง เขาใช้วิธี ลด แลก แจก แถม
เจ้าเหว่ยกลับบอกว่า "เราไม่ควรลดคุณค่าของตนเอง เราต้องคิดว่าที่เสียไปมันคุ้มค่ากับที่ได้รับมาไหม?"
ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากเห็นด้วยกับความคิดของเธอ และบอกว่าเธอเป็นนักธุรกิจตัวจริง
8.มีความสุขสำคัญที่สุด
แจ๊ค หม่ากล่าวเคยกล่าวไว้ว่า “การที่ลูกจ้างลาออกนั้นมีแค่ 2 เหตุผล”
1.คือ เงิน
2.คือ จิตใจไม่ได้รับความยุติธรรม
และนี่คือความจริง ชีวิตเราไม่กี่สิบปีก็จากไป
ต้องทำงานแล้วมีความสุข สิ่งนี้สำคัญที่สุด
หลายคน “ลาออกจากงาน” ไม่ใช่เพราะเงินเป็นหลัก
แต่เพราะทำไปแล้วไม่มีความสุขต่างหาก
หากทำไปแล้วรู้ว่าไม่เหมาะ ก็อย่ายื้อต่อไปเลยดีกว่า
ที่มา :cmoney
แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR