คู่รักใช้เงินแสนเปลี่ยน "บ้านไร่เก่า" ให้เป็น "บ้านไร่แสนสุข" ใช้ชีวิตกับธรรมชาติพอเพียง!

LIEKR:

เพราะความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

        เว็บไซต์ต่างประเทศรายงานว่า "ฉียี่" และ "จืออิน" คู่สามีภรรยาวัยรุ่นธรรมดาๆ คู่หนึ่ง ปี 2011 ฉียี่ไปเรียนทำเครื่องปั้นดินเผาที่เจียงซี ส่วนจืออินไปเก็บรวมรวมเพลงพื้นบ้าน 

        ทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ก็เลยตัดสินใจคบกัน วันนึงขณะที่ทั้งคู่ออกไปเดินเล่นด้วยกัน ก็ไปเจอบ้านไร่แห่งหนึ่ง 

 

Sponsored Ad

 

        เนื่องจากถูกสร้างมานานก็เลยค่อนข้างเก่า แต่มันอยู่ติดกับภูเขาและน้ำ บรรยากาศดีเลิศ

 

Sponsored Ad

 

        ทั้งสองตัดสินใจทันที ว่าจะทำให้ที่นี่กลายเป็นบ้านของตัวเอง พวกเขาใช้เงิน 240,000 บาทซื้อบ้านเก่าหลังนี้ 

        แล้วก็เริ่มต้นการตกแต่งอันยาวนาน บ้านหลังนี้แก่กว่าทั้งสองคนมาก ข้างในเต็มไปด้วยใยแมงมุม รอบๆเต็มไปด้วยหญ้า เพดานก็รั่ว โดยรวมแล้วทรุดโทรมเป็นอย่างมาก พวกเขาช่วยกันรีโนเวทบ้านใหม่ ค่อยๆทำให้มันเป็นแบบที่ต้องการ

 

Sponsored Ad

 

        ฉียี่กังวลว่าฤดูหนาวข้างในจะชื้น ก็เลยสร้างเตาไว้ในห้องนอน ทั้งสองไม่ได้คิดว่าการรีโนเวทบ้านเป็นเรื่องใหญ่ 

 

Sponsored Ad

 

        เพราะงั้นพอคิดจะทำก็ค่อยทำ เวลาไม่อยากทำก็ไปปั้นเครื่องปั้นดินเผา 

        ผ่านไป 2 ปี บ้านถึงได้ทำเสร็จ ด้วยฝีมือของทั้งคู่ บ้านหลังนี้ให้บรรยากาศเหมือนบ้านเก่าในเซี่ยงไฮ้ สงบแต่มีสไตล์

 

Sponsored Ad

 

        พวกเขาสร้างห้องปั้นเครื่องปั้นดินเผาเป็นพิเศษในบ้าน จูงมือกันเข้านอน ตอนเช้าก็ตื่นมาพร้อมเสียงนกร้อง หลังตื่นนอนจืออินจะถือตะกร้าเดินไปตลาด กลับมาแล้วก็จะต้มกาแฟหรือชาสักหม้อ 

 

Sponsored Ad

 

        จากนั้นจึงเริ่มทำงาน พวกเขามีห้องทำงานกันคนละห้อง มุ่งมั่นจดจ่อในงานของตัวเอง ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน

        ฉียี่เชื่อว่า การทำเครื่องปั้นดินเผาก็เหมือนชีวิตคนเรา คนไม่มีวันรู้ว่ามันจะออกมาหน้าตาแบบไหน

Sponsored Ad

 

        แต่การทำด้วยใจผ่อนคลายคุณจะได้ผลงานที่ดีที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด อะไรๆ ก็ดีไปหมด ในสายตาพวกเขาแล้ว 

        ตัวเองไม่มีอะไรแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ ชาวบ้านทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพ ในห้องทำงานของพวกเขาก็เปรียบเสมือนท้องนา พวกเขาใช้ผลงานแลกข้าวแลกน้ำ

        ถ้าต้องการสรุปชีวิตของเขาทั้งสอง “กลับสู่ธรรมชาติ” น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุด เพื่อที่จะหลอมรวมไปกับธรรมชาติ กลิ่นต้นข้าวปลิวเข้ามา 

        พวกเขาทำชานเปิดโล่ง ปกติแล้วเวลากินข้าว ดื่มชา รับแขก นั่งเล่น ก็ล้วนทำที่นี่ พอตกบ่ายอากาศอุ่นๆ พวกเขาก็จะมานั่งตรงนี้รับแดด อ่านหนังสือหรืองีบสักครู่

.

.

        ฝีมือทำอาหารของจืออินยอดเยี่ยมมาก เธอทำอาหารกินเองทั้ง 3 มื้อ ส่วนฉียี่ก็ช่วยล้างผักล้างจานอยู่ข้างๆ 

        พวกเขาเอาอาหารที่ทำเสร็จแล้วตักใส่ชามที่พวกเขาปั้นเอง ดูแล้วเหมือนภาพวาดสีน้ำมันในศตวรรษที่ 17 ยังไงยังงั้น

        พอถึงฤดูร้อน พวกเขาจะออกไปเก็บผัก ได้อาหารหลายจาน พออากาศเริ่มเย็น ก็ต้มซุปไก่ กินแล้วก็อุ่นไปทั้งตัว 

        บนเขามีผักผลไม้ให้กินไม่ขาด เป็ดไก่ก็เลี้ยงเอง มีวัตถุดิบทำอาหารสดๆตลอดทั้งปี

.

.

        ผลไม้ป่ากินไม่หมดก็ไม่โยนทิ้งให้เสียของ พวกเขาจะเอามันใส่ในไหหมักให้กลายเป็นเหล้าชั้นดี กินเหล้าที่ตัวเองหมัก รสชาติอาจไม่ดีเท่าเหล้านอก แต่ความสุขที่อยู่ด้านในกลับชนะเลิศ

        ไม่รู้ว่าเป็นผลกระทบมาจากการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือไม่ ทั้งสองชอบอบขนมมาก 

        ฉียี่ทำเตาอบขึ้นมาเองเป็นพิเศษ นอกจากอบขนมปังแล้ว ยังสามารถใช้อบข้าวโพด มันเทศได้ด้วย ขนมปังที่ทำสดๆ เองกลิ่นหอมอบอวล อบอุ่นเข้าไปถึงดวงใจ ทุกครั้งเวลาอบขนม 

        จืออินจะรู้สึกมีความสุขมาก เหมือนเวลาเผาเครื่องปั้น ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เธอลุ่มหลงและยินดีที่จะจมลึกลงไป

.

.

        ผลราสเบอรี่ป่าพอสุก พวกเขาก็เก็บเอามาทำแยม เอาไว้กินกับขนมปังทำสดใหม่ รสชาติอร่อยยิ่งกว่าเดิม 

        ชีวิตแบบนี้ก็เหมือนที่จืออินเขียนเอาไว้เป็นกลอน “กาแฟหอมหวาน ขนมปังกับแยมหอมหวาน ชีวิตหอมหวาน”

.

.

        พวกเขามีชีวิตเรียบง่าย และคิดว่าอาหารก็เช่นเดียวกัน ยิ่งเรียบง่ายยิ่งอร่อย ภาชนะในบ้านทั้งหมดทั้งสองปั้นขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นจานชาม หม้อต้มชา เครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้วางที่ไหนก็สวย

        ระเบียงของชั้นสองหันไปทางนาข้าว ปกติพวกเขาจะมานั่งตรงนี้ดื่มชาดูพระจันทร์ ฟังเสียงหรีดหริ่งเรไร ชีวิตของพวกเขาเรียบง่าย เวลาจืออินทำความสะอาดบ้าน ฉียี่ก็จะออกไปตัดหญ้า เขายังขุดคูขึ้นมาหนึ่งสาย ให้น้ำไหลมาถึงหน้าบ้าน เพื่อนๆล้วนอิจฉาชีวิตของพวกเขา

        ปี 2014 หลังพวกเขาแต่งงานกันก็ตัดสินใจขับรถเที่ยว 1 ปี พวกเขาเอารถตู้มาแปลงสภาพด้านหลัง เอาไม้กระดานง่ายๆมาเสริม กลางวันด้านในรถก็เป็นห้องทำงาน ตกกลางคืนปูฟูกลงไปก็กลายเป็นที่นอน แน่นอนว่าในรถค่อนข้างแคบ แต่เนื่องจากทั้งสองเป็นคู่รักกัน ยิ่งแคบก็ยิ่งอบอุ่น

.

.

.

        พวกเขาเอาเตาเผาแบบเล็กไปด้วย ไม่ว่าที่ไหนก็สามารถเผาเครื่องปั้นดินเผาได้ ทำผลงานออกมาทีละชิ้นๆ เพื่อบันทึกไว้เป็นความทรงจำระหว่างการเดินทาง 

        พวกเขาไม่รีบเร่ง ถึงที่ไหนก็ที่นั่น เวลาเหนื่อยฉียี่ก็เล่นดนตรี จืออินก็นั่งเย็บผ้าอยู่ข้างๆ พวกเขาเหมือนคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมานานหลายสิบปี ไม่ต้องพูดอะไรมาก ก็เข้าใจซึ่งกันและกัน

        หิวก็ไปหุงข้าวเอาข้างลำธาร ใช้น้ำแร่จากธรรมชาติหุงข้าว ระหว่างเดินทางมีมื้อนึงพวกเขาทำข้าวอบเห็ด น่าจะเพราะใช้น้ำจากธรรมชาติ รสชาติก็เลยอร่อยเป็นพิเศษ

        ถ้าจับปูตัวเล็กๆได้ มื้อเย็นก็จะเป็นข้าวอบปู

        ในบรรยากาศระหว่างภูเขากับน้ำ บางครั้งฉียี่ก็จะเป่าฟลุต รับลม มองดูดาวเต็มฟ้า พวกเขาทำเหมือนว่าโลกนี้มีเพียงเขาสองคน นี่ถึงจะเป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของจริง ไม่ใช่การไปทัวร์ชะโงก และไม่ใช่การทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย นี่คือการรักกันและกัน อยู่ข้างๆ และร่วมเดินไปด้วยกัน

.

        ระหว่างเดินทาง พวกเขาไม่มีแผนการ ไปถึงไหนก็เท่านั้น พวกเขาท่องเที่ยวไปสร้างผลงานไป ไม่ทันไรก็ครบ 1 ปี หลังการท่องเที่ยวสิ้นสุดลง พวกเขาก็เอาผลงานที่ทำขึ้นระหว่างการเดินทางมาจัดแสดง 

        ชื่อของมันก็คือ “หนึ่งปีแห่งการเดินทาง” เปรียบเทียบกับผลงานก่อนหน้านี้ ผลงานจากการเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีความพิเศษ มันเหมือนมีการตกตะกอนของเวลา

        ถ้วยยังมีกลิ่นของดิน รูปร่างที่แตกต่าง เต็มไปด้วยพลัง นักท่องเที่ยวต่างชาติมองด้วยความสนใจ

        หลังการเดินทางสิ้นสุดลง พวกเขากลับไปที่บ้านไร่หลังเล็ก เริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกัน อากาศดีๆฟ้าใสพวกเขาก็จะจูงมือกันไปเดินเล่นบนภูเขา แม้ว่ามันจะไม่เหมือนเมืองใหญ่ แต่พวกเขาชอบความสงบของที่นี่มากกว่า

        ฉียี่เล่าว่า “พวกเราเป็นเพื่อนกับนกหนอน เงยหน้ามองเห็นภูเขา ข้างๆมีลำธาร ซาบซึ้งกับเรื่องเล็กๆ ไม่เร่งรีบ พวกเราสร้างชีวิตที่ตัวเองต้องการ”

        บ้านไร่หลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่ แต่มันยังเป็นที่พักใจ ชีวิตคนเรา ใจอยู่ที่ไหน บ้านก็อยู่ที่นั่น พวกเขาเจอบ้านของพวกเขาแล้ว แล้วคุณล่ะ?

แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR

บทความที่คุณอาจสนใจ