LIEKR:
หากใครติดตามข่าวสารการเมืองมาโดยตลอด เราก็จะเห็นนักเคลื่อนไหวที่มีบทบาทสำคัญ และที่ถือเป็น "The Man oF Week" ถูกฝ่ายตรงข้ามพาดพิงโจมตีขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ผิดบ้างถูกบ้างกระจายเต็มโซเชียล
และล่าสุดทางด้านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ ได้นำเสนอเส้นทางกว่า 16 ปีที่ได้รับราชการเป็นอาจารย์ ของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" โดยตำแหน่งสุดท้ายคือ "รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ก่อนที่จะตัดสินใจลาออก ก่อนจะมาปรากฏตัวสร้างความฮือฮาอีกครั้ง หลังประกาศตัวจับมือกับ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" และผู้ที่มีความเห็นทางการเมืองคล้ายกันอีกจำนวนหนึ่ง ยื่นจดจัดตั้งพรรคการเมืองในชื่อ "พรรคอนาคตใหม่" ด้วยความตั้งมั่นจะสร้างการเมืองใหม่แห่งความหวัง การกลับคืนสู่หนทางที่การปกครองจะยึดโยงอยู่กับประชาชน และสร้างสรรค์ประเทศไทยที่อนาคตอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง
Sponsored Ad
"บ้านไม่รวย สมองดี นักเรียนนอก รักความเท่าเทียมในสังคม"
ปิยบุตร แสงกนกกุล หรือ "ป๊อก" ในวัยที่อายุกำลังจะเข้าสู่ 40 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2522 เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 4 คน และเกิดในครอบครัวคนชั้นกลางเชื้อสายจีนที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ในขณะที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาของลูกๆ เหตุนี้เองครอบครัวเขาจึงต้องสร้างอนาคต ประหยัดอดออม ใช้แรงแลกงานหนัก เพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษา
Sponsored Ad
"ปิยบุตร" จบชั้นมัธยมจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 จากนั้นได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลฝรั่งเศส ให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอก "ปิยบุตร" จบปริญญาโท DEA (Master 2) สาขากฎหมายมหาชนและกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย Nantes ประเทศฝรั่งเศส วิทยานิพนธ์เรื่อง “ข้อความคิดเรื่องผู้มีส่วนได้เสียในคดีปกครองสิ่งแวดล้อม” (2546 - 2547) และ ปริญญาเอก เกียรตินิยมดีมาก โดยมติเอกฉันท์ (Mention Très Honorable avec Félicitations) มหาวิทยาลัยตูลูส (Toulouse) ประเทศฝรั่งเศส (2553) วิทยานิพนธ์เรื่อง “ศาลปกครอง: การกำเนิดของสถาบัน”
Sponsored Ad
ปริญญาเอกด้านกฎหมาย จับตาความเคลื่อนไหวการเมืองไทย
"ปิยบุตร" กลับจากฝรั่งเศสหลังเรียนจบปริญญาเอกด้านกฎหมายในปี พ.ศ.2553 เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนในช่วงการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ.2553 ตัวเค้าเองให้ความสนใจประเด็นต่างๆ ทางสังคมมาโดยตลอด ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เค้าให้ความสนใจและติดตามสถานการณ์การเมืองในไทยมาโดยตลอด เพราะระหว่างที่เค้าได้รับทุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้ไปเรียนปริญญาโทและเอกอยู่ที่นั่น นอกจากจะศึกษาวิชากฎหมายตามแนวทางการเรียนแล้ว
Sponsored Ad
ตัวเค้าเองยังพร่ำค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมือง ปรัชญา วัฒนธรรม รวมทั้งขบวนการทางสังคมที่เคลื่อนไหวผลักดันประเด็นต่างๆ ทั้งในฝรั่งเศสและประเทศยุโรปอื่นๆ ควบคู่ไปกับติดตามสถานการณ์การเมืองไทย และพร่ำแสดงความคิดเห็นโดยตลอด กระทั่งประเทศไทยเข้าสู่เหตุการณ์รัฐประหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2557 ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการยึดอำนาจโดยทหารครั้งที่ 2 ในห้วงเวลาห่างกันไม่ถึง 10 ปี
มุมมองของเค้าแสดงทัศนคติออกมาเด่นชัด เรื่องการล้มรัฐบาลโดยวิธีผิดปกติอีก 1 ครั้ง นับจากปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดสิ่งที่เค้าชี้ให้สังคมเห็นว่านี่คือ “ทศวรรษที่สูญหาย” ประเทศเสียเวลาและโอกาสของความเจริญก้าวหน้า เกิดความแตกร้าวของคนในชาติที่ ‘ถูกกำหนดสร้างขึ้น’ เป็นรอยร้าวลึกล้ำจนไม่อาจหันหน้ามาปรึกษาหาทางออกกันได้ ในขณะเดียวกัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นก็ถูกอำนาจและอาวุธกดทับเอาไว้ ประชาชนจำนวนมากต้องมีชีวิตอยู่กับการเมืองแห่งความกลัว
Sponsored Ad
ลิเวอร์พูล ทีมในดวงใจ
คนทั่วไปจะรู้จัก "ปิยบุตร" ในมุมความเอาจริงเอาจังกับเรื่องต่างๆ เมื่อยังเป็นอาจารย์เขาต้องหาเวลาให้ตัวเองได้อ่านและค้นคว้าทำงานวิชาการต่อเนื่องสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกัน เค้ามีกีฬาสุดโปรดคือฟุตบอล ใครที่รู้จัก ‘อาจารย์ป๊อก’ เป็นอย่างดี จะรู้ว่าเขามีลิเวอร์พูลเป็นทีมในดวงใจ จดจ่อติดตามแม้จะผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แพ้แล้วแพ้อีก นอกจากนี้ "ปิยบุตร" ยังเชียร์ทีมชาติฝรั่งเศสด้วยความผูกพัน เพราะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนั้นช่วงเรียนปริญญาโทและเอกเป็นเวลานาน รวมถึงภรรยาของเขาก็ยังเป็นชาวฝรั่งเศสอีกด้วย
Sponsored Ad
นอกจากนี้ ปิยบุตร ยังถือเป็นผู้ชายที่กินง่ายอยู่ง่าย ชอบทดลองอาหารหลากหลายประเทศ เขามีความหลงใหลในวัฒนธรรมอาหาร โดยไม่ต้องกังวลว่าอาหารจานนั้นจะดีต่อสุขภาพหรือไม่ นอกจากนี้เค้ายังชอบจิบไวน์เป็นชีวิตจิตใจ และมีความรู้ในเรื่องไวน์เป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดคือเหมือนจะห่วงหล่อหน่อยๆ ก่อนออกจากบ้านเซ็ตผมจัดทรง "มาดต้องตา วาจาต้องใจ"
สอนหนังสือในห้องเรียนไม่น่าจะพอแล้ว ต้องลงมาเปลี่ยนจากข้างนอกด้วย
Sponsored Ad
เพราะการสอนหนังสืออย่างเดียวน่าจะไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม เวลาสอนหนังสือ นักศึกษาที่เขาเห็นด้วย เชื่อและยึดมั่นในกฎหมายรัฐธรรมนูญรูปแบบของประชาธิปไตย เขารู้ว่าอะไรถูกหลักการ อะไรผิดหลักการ แต่ปัญหาคือ เมื่อวันหนึ่งเขาเรียนจบออกไปเข้าสู่ระบบการทำงาน ความรักในความถูกต้องจะค่อยๆ หายไปโดยปริยาย ถามว่าเขารู้ไหม รู้ แต่ระบบกำลังบีบบังคับให้เขาต้องไม่กล้าที่จะขบถ กลายเป็นคนที่เขาเรียกกันว่า ‘อยู่เป็น’
"วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยตลอดสิบกว่าปีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่า บ้านเมืองนี้จะอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ มันควรจะต้องลงมาทำงานการเมือง จากงานทางวิชาการต้องมาทำในภาคปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อจะสร้างการเมืองแบบใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เพราะการเมืองแบบใหม่ ทางเลือกแบบใหม่จะช่วยทำให้สังคมไทยออกจากวิกฤตการณ์ความขัดแย้งที่ฝังอยู่ในช่วงสิบกว่าปีนี้ได้"
เวลาเราสอนหนังสือ ทำงานทางวิชาการ เราก็จะถามว่ามันมีประโยชน์ในการสร้างคนใหม่ๆ ออกไปไหม ผมคิดว่ามี แต่อย่างที่ผมพูดไป ถ้าระบบข้างนอกยังเป็นแบบเดิม กลุ่มคนจำนวนมากที่ออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยเขาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะเขาต้องอยู่ในระบบแบบนี้ ผมเลยคิดว่าสอนหนังสือในห้องเรียนไม่น่าจะพอแล้ว ต้องลงมาเปลี่ยนจากข้างนอกด้วย ไม่อย่างนั้นสอนหนังสืออย่างเดียวจะกลายเป็นการผลิตคนให้กลับไปทำงานในระบบนี้ด้วย
“ทศวรรษที่สูญหาย” มุ่งหน้าสู่ “ทศวรรษแห่งการทวงคืนอนาคต”
การตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ก็คือการลาออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยตำแหน่งสุดท้าย รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 หลังรับราชการมาแล้วมากกว่า 16 ปี
จริงๆ แล้วความคิดที่จะตั้งพรรคการเมืองของปิยบุตรและกลุ่มเพื่อนๆ เริ่มต้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่มาเข้มข้นจริงจังมากขึ้นเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน บ้านเมืองเหมือนจะเดินกลับไปสู่ยุคสมัยที่ประชาชนไร้สิทธิ์และเสียงมากขึ้นทุกทีๆ เมื่อเขาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญในชั้นเรียน มีนักศึกษาเป็นจำนวนมากที่เข้าใจจุดยืนอุดมการณ์ แต่แล้วเมื่อเรียนจบและไหลเข้าสู่ระบบ พวกเขาก็จนหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทางเดียวที่พอจะมีความหวังก็คือการต้องเปลี่ยนแปลงระบบนั้น
อนาคตใหม่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการนำพาประเทศออกจากวิกฤติ กลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตย ยุติ “ทศวรรษที่สูญหาย” มุ่งหน้าสู่ “ทศวรรษแห่งการทวงคืนอนาคต”
ปลดล็อก ปรับโครงสร้าง เปิดโอกาส
ก่อนจะไปถึงรูปธรรมได้ อาจต้องพูดนามธรรมนิดนึง ทั้งหมดที่เราคิดออกมาในรูปที่เราเรียกกันว่า 3 ป. ปลดล็อก ปรับโครงสร้าง เปิดโอกาส ปลดล็อก หมายความว่า ประเทศนี้มีหินก้อนมหึมาอยู่ก้อนหนึ่งที่วางทับอยู่อย่างนี้ คนจำนวนมากถูกหินก้อนนี้ทับเอาไว้ ซึ่งมาในแง่ของโครงสร้างการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ลงไปถึงระดับกฎกระทรวง ออกใบอนุญาตต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการโชว์พลังของมนุษย์ออกมา เต็มที่ คุณอาจจะยกมือยกนิ้วได้ขึ้นมานิดหน่อย แต่ไม่มีใครที่ยืนตัวตรงได้ เพราะก้อนหินนี้ทับเอาไว้ แต่จะมีคนที่อยู่รอบก้อนหินที่สามารถยืนได้ เมื่อเรามองขึ้นไปบนยอดก้อนหินก็มีคนไม่กี่คนนั่งอยู่ ดังนั้นต้องยกก้อนหินก้อนนี้ออก เพื่อจะทำให้คนที่อยู่ใต้ก้อนหินออกมายืนตรง
ปรับโครงสร้าง โครงสร้างอำนาจไทยตอนนี้ไม่สมดุลกัน รวมศูนย์กันเกินไป มีไม่กี่กลุ่ม ส่วนราชการไม่กี่ส่วนที่มีอำนาจ แต่ส่วนอื่นๆ ไม่มี นโยบายเรื่องนี้คือเรื่องการกระจายอำนาจ ซึ่งเรื่องนี้ใครๆ ก็พูดได้ ทุกพรรคการเมืองพูดหมด พูดมาโดยตลอด แต่ผมคิดว่าบทพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ แต่ละพรรคก็เคยได้เป็นรัฐบาลแล้ว การกระจายอำนาจก็อยู่แบบเดิม
"พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ" มีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไร
ประชาธิปัตย์ ก็อย่างที่สังคมไทยพูดกัน เขามีความเป็นพรรคการเมืองที่มีความต่อเนื่องยาวนาน เคยผ่านจุดสูงสุดและต่ำสุดไปไม่รู้กี่ครั้ง เขาก็ยังอยู่แบบนี้ได้ ส่วนจุดอ่อนคือ ด้วยสภาพการณ์หลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาปรับตัวให้เกิดความใหม่ได้อย่างไม่เต็มที่นัก ซึ่งผมก็คิดว่าถ้าเขาผลักดันคนรุ่นใหม่ให้มีบทบาทมากขึ้น การเมืองไทยก็จะสนุกขึ้น
ส่วน พรรคพลังประชารัฐ ที่ลือกันว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการหา ส.ส. เพื่อไปสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. สำหรับผมก็ดีเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ มันจะได้ชัดเจน พูดกันง่ายๆ คือ เลือกพรรคอนาคตใหม่คุณได้อนาคตใหม่ เลือกพรรคที่สนับสนุน คสช. คุณก็ได้อนาคตเก่า
อนาคตเก่า 20 ปีตามแผนยุทธศาสตร์ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 และถ้านับตั้งแต่ 2549 จนหลังรัฐประหาร 2557 และมียุทธศาสตร์ชาติ พูดง่ายๆ คือภาพที่วาดไว้ทั้งหมดคืออนาคตเก่า ส่วนของเราที่กำลังทำตอนนี้ เราพยายามจะวาดภาพให้สังคมเห็นว่าอนาคตแบบใหม่ที่เรากำลังทำ 20 ปีข้างหน้าเป็นแบบใด แล้วพี่น้องประชาชนก็เลือก
อะไรคือความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่
หนึ่ง ผมคิดว่าการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ทำให้คนพอจะเชื่อได้ว่ากลับไปเลือกตั้งได้ไม่มากก็น้อย สอง ผมคิดว่าเราสามารถผลักดันเป็นคนกำหนดวาระให้กับการเมืองไทยได้ ยกตัวอย่างเช่น พอเราเปิดตัว แต่ละพรรคต้องกลับไปทำการบ้าน สรรหาคนรุ่นใหม่ออกมา ไม่ใช่คนหน้าเดิม หรือเราสามารถกำหนดวาระว่ารัฐธรรมนูญ 2560 เป็นปัญหา เราสามารถกำหนดวาระได้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเอากันให้ชัดว่าใครเป็นฝ่ายสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. ใครเป็นฝ่ายไม่สนับสนุน เราพยายามกำหนดขีดเส้นแบ่งการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่
มีทางออกอย่างไรเมื่อเจอปัญหาที่ต้องแก้
ผมใช้สองวิธี หนึ่ง ผมไปนั่งดูกระจกตัวเองว่ายังได้อยู่นะ เรายังรู้อยู่ว่าเรายืนตรงไหน จุดยืนอะไร มีเป้าหมาย ยังรู้สึกว่านี่ยังเป็นเรา ไม่ใช่ขายวิญญาณให้ซาตานไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมถามตัวเองทุกวันเวลาตื่นขึ้นมา อีกวิธีที่โชคดีคือ ผมคุยกับภรรยาผม เขาก็เป็นนักวิชาการ อย่างน้อยที่สุดการกลับมามีชีวิตได้พูดเรื่องวิชาการคือตอนคุยกับภรรยาผม เขายังมานั่งคุยกับผม ซึ่งเป็นความฝันที่ผมชอบ นั่งคุย นั่งพูด อ่านหนังสือถกเถียงกัน อย่างน้อยที่สุดเราไม่ได้ขาดเรื่องนี้ไป เมื่อมีคนคาดหวังเยอะ ก็ย่อมตามมาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ ยืนยันนะครับว่าทุกความเห็นที่วิพากษ์วิจารณ์ผม ผมฟังตลอดเวลา.
บทสัมภาษณ์บางส่วนจาก one on one
ข้อมูลและภาพจาก thairath