จากแม่ค้าส้มตำ-สู่เจ้าของแบรนด์100ล้าน ผู้ออกแบบรองเท้ามิสยูนิเวิร์ส ดังไกลระดับอินเตอร์

LIEKR:

รองเท้าสัญชาติไทย ดังไกลระดับอินเตอร์

    ฝันให้ไกลไปให้ถึงคงต้องใช้กับ “ต้า รรินทร์ ทองมา” วัย 34 ปี เจ้าของแบรนด์รองเท้า O&B (โอแอนด์บี) แบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยที่ดังไกลระดับอินเตอร์ และเคยร่ววมงานกับไอคอนระดับโลก อย่าง Anna Dello Russon (แอนนา เดลโล รุซโซ่) ผู้มีอิทธิพลในโลกแฟชั่น ออกแบบแคปซูลคอลเลกชั่นเอาใจเหล่าแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก ที่ตอนนี้รับหน้าที่ดีไซน์เนอร์ให้กับเวทีประกวด มิสยูนิเวิร์สที่จัดขึ้นในประเทศไทย

    ต้าเรียนจบโปรดักส์ ดีไซน์ คณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และไปเรียนต่อแฟชั่นมาร์เก็ตติ้งที่ประเทศอิตาลี่ด้วยเงินเก็บทั้งชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ที่ยอมอดเพื่ออนาคตลูก โดยที่เจ้าตัวไม่รู้มาก่อนว่าพ่อแม่ต้องลำบากมากมายขนาดนี้ แต่ต้าก็ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเมื่อสามารถสร้างแบรนด์ O&B (โอแอนด์บี) ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในหมู่ดาราเซเลบริตี้จนยอดขายทะลุ 100 ล้าน แต่กว่าจะมีวันนี้มาได้ต้าผ่านงานหนักมามากมายทั้งขายของตลาดนัดและขายส้มตำ

 

Sponsored Ad

 

    “ต้าเรียนจบค่ะ จบมาก็ได้ทำงานอยู่ที่คิงพาวเวอร์อยู่ 3 ปี แต่เนื่องจากต้าจบด้านดีไซด์เนอร์ความฝันของต้าคืออยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ต้าก็มองว่าเราต้องมีความรู้เพิ่มขึ้น เราอยากรู้ด้านดีไซด์ด้านธุรกิจการตลาดมากขึ้น ก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อ ทีนี้ต้าก็มองว่าเราอยากจะเรียนรู้อะไรมากกว่าที่มันอยู่นอกประเทศ ต้าก็เลยขอพ่อกับแม่ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ตัวเลยนะว่าขอเกินตัว เพราะเราเห็นเพื่อนๆ ก็ไปเรียนกัน ก็พูดเลยว่าตัวเองเป็นเด็กนิสัยไม่ดี พ่อกับแม่ก็เลยต้องยอมเก็บเงิน เอาเงินก้อนสุดท้ายที่เขาเก็บมาเพื่อให้เราไปเรียนต่อ เราก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอิตาลีค่ะ”

 

Sponsored Ad

 

    “จนกระทั่งเรียนจบเพิ่งรู้ว่าแม่ไม่มีเงินใช้เลยเพราะส่งให้เราไปเรียนต่อ ตอนนั้นก็เสียใจมากนะคะ ก็ไปเรียนอยู่ปีกว่าๆ ค่ะ ต้าเรียนด้านเพราะอยากจะมีอะไรที่มันมาต่อยอดให้เรามีธุรกิจได้จริงๆ ซึ่งยอมรับเลยว่าตอนเด็กๆ เพราะพ่อกับแม่เขาไม่เคยบ่นกับเราเรื่องเงินเลยเหมือนเขารักลูกมาก 

 

Sponsored Ad

 

    เขาก็ไม่เคยบ่นให้ฟังว่ายากลำบากหรืออะไร เราก็คิดว่าบ้านเราสุขสบายดี คิดว่าบ้านเรามีเงิน จนวันหนึ่งพี่โทรมาบอกว่ารู้ไหมว่า แม่ไม่มีเงินกินข้าวแล้วนะ ก็ถามไปถามมาจนได้รู้ว่าแม่เอาเงินเดือน เงินเก็บทั้งหมดของเขามาส่งให้เรียนหนังสือ เพราะว่าที่โน่นค่าใช่จ่ายมันแพงมาก เขาก็เอาเงินเดือนทั้งหมดมาส่งให้เราใช้เป็นค่าห้อง ค่าเรียนหนังสือ พอรู้ก็ตกใจมากค่ะ”

    “พอกลับมาก็ยังดื้อด้านอยู่นะ(หัวเราะ) คือเรากำลังไฟแรง คิดว่าถ้าไม่ทำตอนนี้จะให้ทำตอนไหน ให้มาทำตอนแก่มันก็ไม่ไหว เราก็เลยคิดว่าควรจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเองแล้วล่ะ ก็อย่าเรียกว่าสำนึกมากเลย เพราะเราก็ยังไม่มีเงินทุนเนอะ ก็เดินหน้าไปขอแม่อีก ก็บอกแม่ว่าขออีกก้อนหนึ่งนะ ก็ขอเขามาอีกสองแสนบาท บอกว่าอยากจะเริ่มทำอะไรของตัวเอง แม่ก็รักลูกก็ให้มาอีก ไม่รู้ว่าเขาไปหามาจากไหนให้เรา”

 

Sponsored Ad

 

    “ก็ไปทำเสื้อผ้าเด็กค่ะแต่ปรากฎก็เจ๊ง ตอนนั้นรู้สึกผิดมากรู้สึกเฟลจริงๆ ค่ะ ก็ด้วยความที่เราอ่อนประสบการณ์ เราทำอะไรยังไม่เป็นและเราอีโก้เยอะเกินไปมันมีความผยอง คิดว่าฉันทำได้ฉันรู้เยอะฉันเรียนจบเมืองนอก สุดท้ายก็เจ๊งค่ะตอนนั้นคือตอนที่เราเสียใจมาก เพราะนอกจากเราเอาเงินไปเรียนต่อแล้วค่อนข้างเยอะ กลับมาธุรกิจก็เจ๊งอีก แต่ก็ยังไม่ท้อนะคะ ก็คิดว่ามันต้องมีวันของเรา ตอนนั้นก็ไปขายของตลาดนัดตรงไหนมีตลาดก็ไปขายทุกที่ เป็นเด็กเสิร์ฟร้านส้มตำอะไรก็ทำหมด จนกระทั่งได้มาทำแบรนด์ O&B มาถึงทุกวันนี้ค่ะ”

 

Sponsored Ad

 

สร้างแบรนด์ 100 ล้าน ด้วยทุนน้อยนิด
    “ถ้านับจากตอนที่กลับมาจากอิตาลี ตอนนั้นอายุ 25 มาถึงตอนนี้ก็ 9 ปีแล้วค่ะ เพราะแบรนด์ O&B ก็เปิดมาได้ 7 ปีแล้ว ซึ่งตั้งแต่แรกต้าก็ทำเองทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นถ่ายรูปกับทำบัญชี คือดีไซน์ไปรับสายลูกค้าไปค่ะ คือตอนเช้านั่งถ่ายรูป ทำสไตล์ลิ่งทำกราฟฟิก ระหว่างนั้นก็จะมีลูกค้าโทรเข้ามาตลอด ตอบเฟสบุ๊คตลอด เปิดเพจเอง ทำทุกอย่างเอง ไปคุยกับโรงงานเอง แพ็คของเอง ไปส่งไปรษณีย์เอง กลับมานั่งทำกราฟฟิกต่อ เป็นอย่างนี้อยู่เกือบปีเลยค่ะกว่าจะมีผู้ช่วยมาช่วยรับสายลูกค้า เพราะเริ่มทำเองไม่ไหว”

 

Sponsored Ad

 

    “พอเริ่มเข้าปีที่ 2 เราก็เริ่มเป็นที่รู้จักนะคะ เนื่องจากต้าเป็นคนที่เวลาทำอะไรต้าชอบทำพื้นฐานก่อน อย่างทำบ้าน รากฐานก็ต้องดีก่อน ต้าก็เลยคิดว่าต้องทำโปรดักส์ตัวเองให้ดีก่อน ก็คือทำรองเท้า ทำกระเป๋าให้มันดีที่สุด มันก็เริ่มเป็นการบอกต่อปากต่อปากของลูกค้าค่ะ นี่คือการตลาดที่ทรงพลังที่สุด ต้าก็เลยดีใจที่เราเลือกจะทำโปรดักส์ที่มันดีตั้งแต่ต้น คนก็เริ่มบอกต่อ เราเริ่มมีลูกค้าเป็นเซเลบ เป็นดารา”

Sponsored Ad

3 ปี 100 ล้าน
    “พอเราเข้าไปปีที่ 3 ก็ได้ยอดขายมาแตะที่หลักร้อยล้านเลย ทุกวันนี้ก็เติบโตไปมาก และคิดว่าปีหน้าก็จะได้เห็นอะไรที่ใหม่ๆ และเติบโตเยอะขึ้น เพราะนี่เป็นแผนที่เราเตรียมวางไว้ ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับมิสยูนิเวิร์สพอดี ซึ่งก็ถือเป็นความโชคดีของต้าที่มันประจวบเหมาะที่เราต้องไปการไปตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งการได้เข้ามาทำรองเท้าให้มิสยูนิเวิร์สเป็นการเปิดให้โลกรู้จักเราค่ะ”

ตั้งเป้าขยายต่างประเทศสร้างรายได้ 1000 ล้าน
    “ต้าคิดว่าปีหน้าในแพลนของเราก็คงจะอยู่ในหลักร้อยล้านอยู่ค่ะ แต่เราก็อยู่ในช่วงที่มีชาวต่างชาติสนใจอยากจะมาร่วมทุนด้วย ซึ่งถ้าเกิดว่าคุยกันเรียบร้อยจริงๆ และ O&B เราได้ไปเปิดตลาดที่ต่างประเทศ  ตอนนี้เราก็กำลังศึกษาว่าแต่ละประเทศเขามีความชอบยังไง ไม่ใช่แค่ว่าเราจะนำเข้าไปยังไงนะคะ แต่เราต้องรู้ด้วยว่าโปรดักส์แบบไหนที่เหมาะกับประเทศเขา เหมาะกับคาแรคเตอร์ของคนในประเทศนั้นๆ วิธีการขาย ราคาอะไรต่างๆ อีก

    “สาขาในปีหน้าเราวางแผนไว้ว่าจะมีหน้าร้านที่เพิ่มขึ้นในใจกลางเมือง ที่แน่นอนเลยคือเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ก็ขอเชิญไปช้อปปิ้งที่เอ็มโพเรียมได้เลยค่ะ ก็จะเป็นร้านของเราเลย เรียกว่าเป็นแฟล็กชิพสโตร์ที่อยู่ใจกลางเมืองร้านแรก ซึ่งเราทำสวยงามเลย ฟูลสเกล ไม่ใช่เฉพาะแค่คนไทย แต่เพื่อชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยมาถ่ายรูปมาช้อปปิ้งกัน ก็รอติดตามกันต่อไปเพราะจะมีสาขาเปิดเรื่อยๆ ค่ะ และที่แน่ๆ ปีหน้าจะมีป๊อปอัพสโตล์ ซึ่งเรามีกระจายอยู่ตามห้างทั่วเมืองเลย”

    ดีไซน์รองเท้าผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส จะเป็นสีนู้ด 2 แบบ คือเหมาะกับผิวขาวและผิวสองสี
เราได้รับโทรศัพท์จากคุณโอ ที่ทำชุดตุ๊กตุ๊ก และทีมจากพี่โจ้ เซอร์เฟสว่า อยากจะให้เราทำรองเท้าให้กองมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งตอนแรกก็ตกใจมากนะคะ ต้าคิดว่าเขาหลอก(หัวเราะ) เพราะมันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินที่เราจะจินตนาการได้ และเราก็ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะได้ทำอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ทำให้ต้านอนไม่หลับเลย 2 วัน ดีใจถึงขนาดออกไปตะโกน (หัวเราะ) แต่ก็ดีใจได้ไม่นานคะ เพราะมันเป็นโจทย์ใหญ่มาก ที่เราจะต้องทำรองเท้าให้ผู้หญิงที่สวยที่สุดทั่วโลกที่ทุกประเทศเขาส่งมาและกำลังมีการจับจ้อง และในขณะเดียวกันก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย”

    “การเตรียมตัวไม่นานนะคะ เพราะตอนที่ได้รับโจทย์เขาก็ให้เวลามา แต่ก็จำกัดเหมือนกันในการทำงาน ซึ่งทีมงานก็ตั้งใจมากเต็มที่มาก และอย่าลืมว่าการทำรองเท้าทั้งหมดให้นางงาม 100 คน มันใช้เวลานะ รองเท้ามันมีส่วนประกอบค่อนข้างเยอะ หนังที่เราใช้มันต้องมีการฟอกสีใหม่ตามที่เราต้องการ คือโจทย์ที่เราได้รับเขาต้องการสีนู้ดให้มันกลืนกับผิว เราก็ต้องดูว่านางงามทั้งหมดมีสีผิวใดบ้าง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะมี 2 โทนคืออมชมพูกับอมเหลือง คนผิวขาวเขาก็จะได้โทนอมชมพู นางงามที่เป็นผิวสองสีก็จะได้สีที่มันกลมกลืนกับสีผิวเขา”

ตัดรองเท้าให้นางงามแบบเฉพาะบุคคล เน้นสวยเหมาะกับทุกลุคทุกชุดและใส่เบาสบาย
    “รองเท้าทุกคู่เราก็ตัดให้เฉพาะคน เป็นของแต่ละคนของเขาเลย ทางกองก็จะวัดไซด์ของแต่ละคนมาให้ค่ะ ก่อนจะทำต้าก็มีรีเซิร์จก่อน เพราะอย่างมิสยูนิเวิร์สเราต้องมองว่านางงามที่มาจากหลายประเทศสีผิวต่างกัน บุคลิกภาพต่างกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้าทำทุกคนต้องใส่ได้ ต้องมีความเรียบในตัวเอง ต้องเข้ากับทุกลุค ทุกชุดได้ เพราะฉะนั้นที่คือโจทย์ใหญ่เลยที่ต้องทำให้ได้ และที่แน่นอนเลยคือต้องใส่แล้วเหมือนไม่ได้ใส่ เพราะเขาต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน และแบรนด์เราเองก็ขึ้นชื่อเรื่องความเบาสบายอยู่แล้ว ซึ่งรับรองเลยว่าสามารถใส่เดินได้ทั้งวันแน่นอน นี่ต้าก็ลองใส่เองนะคะ ไม่มีปัญหาแน่ๆ”

หวังเวทีมิสยูนิเวิร์สจะเปิดตลาดแบรนด์ O&B และปีหน้าทุกเวทีทั่วโลกจะใส่รองเท้าแบรนด์นี้
    “โอกาสที่แบรนด์ไทยได้รับให้ทำในงานใหญ่ๆ แบบนี้มันสำคัญมากค่ะ ในแง่ของรองเท้าเราเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกเลยในมิสยูนิเวิร์สทั้งเวทีจริงๆ ที่ทำให้นางงามได้ใส่ อย่านึกว่าเป็นแบรนด์ O&B อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ชุดหรืออะไร ทุกดีไซน์เนอร์มันเป็นหน้าเป็นตาหมดเวลาคนพูดถึง เวทีมิสยูนิเวิร์สเป็นผู้นำเทรนด์ของเวทีนางงามทั่วโลก มีแฟนนางงามเขาคอมเม้นท์เอาไว้แล้วต้าไปอ่านเจอ เขาบอกว่าเวลาเวทีมิสยูนิเวิร์สเลือกทำอะไรก็จะเป็น Trendsetter ให้กับเวทีทุกเวทีทั่วโลก เพราะฉะนั้นอะไรที่มิสยูฯ เลือกนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะนี่คือแม่เลือกแล้ว อะไรที่แม่เลือกแล้วนั่นคือสิ่งที่ทันสมัยและดีที่สุด เขาพูดอย่างนี้เลยนะคะ ต้าก็คอยดูว่าปีหน้าทุกเวทีทั่วโลกจะใส่รองเท้าแบรนด์ O&B”

ข้อมูลและภาพจาก ไอจีดารา/truststoreonline/mgronline

บทความที่คุณอาจสนใจ