3 หนุ่มเพื่อนสนิท บอกลาเส้นทางมนุษย์เงินเดือน สู่ "วิถีเกษตรกรอินทรีย์" ตามรอยพ่อหลวง!

LIEKR:

ทำงานในบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ เงินเดือนสูงเกือบเท่าผู้บริหาร แต่ขอจับมือกันลาออกมาทำ "เกษตรกรอินทรีย์" ตามรอยพ่อหลวง ร.๙!

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

        หลายคนอยากมีเงินเดือนสูงๆ แต่สุขภาพนับวันยิ่งย่ำแย่ เพราะต้องคลุกคลีกับสารเคมี แถมต้องห่างไกลจากครอบครัว เป็นจุดพลิกผันให้ 3 หนุ่ม ตัดสินใจบอกลาเส้นทางมนุษย์เงินเดือน สู่วิถีเกษตรกรที่ยึดหลักอินทรีย์ เลี้ยงและขาย “ไก่ไข่ปลอดส า ร พิ ษ ” ที่สร้างสุขให้แก่ชีวิตมากกว่าการเป็นพนักงานกินเงินเดือนไปวันๆ

        วันนี้ เราจะพามาเปิดเรื่องราวสุดทึ่งของ ชวัลวิทย์ สุทธิวรวรรณ์ (โดม) ศุภกร ชินบุตร (จิ๊ป) และธีรพงศ์ บรรเลง (อ๊อบ) 3 หนุ่มที่ทั้งหมดเรียนจบด้านเกษตรประมง และเข้าทำงานในบริษัทเอกชนด้านผลิตภัณฑ์อาหารยักษ์ใหญ่ของประเทศ โดยถูกส่งตัวไปประจำในต่างประเทศ เพื่อดูแลธุรกิจเพาะเลี้ยงกุ้ง

 

Sponsored Ad

 

ธีรพงศ์ บรรเลง (อ๊อบ) ชวัลวิทย์ สุทธิวรวรรณ์ (โดม) และศุภกร ชินบุตร (จิ๊ป) (จากซ้ายมาขวา)

        โดมเล่าว่า ด้วยหน้าที่ดังกล่าวในการเลี้ยงมีการใช้ส า ร เ ค มี สูงมาก ทำให้ร่างกายต้องสัมผัสใกล้ชิดกับส า ร เ ค มี ตลอด นับวันยิ่งรู้สึกว่า สุขภาพตัวเองย่ำแย่ลง แม้จะมีเงินเดือนสูงมาก แต่ประเมินว่าระยะยาว เงินที่หามาได้ ต้องนำไปรักษาตัวเอง อีกทั้ง ต้องทำงานประจำอยู่ต่างประเทศ จะได้กลับมาเมืองไทยแค่ 8 วันต่อปี ยิ่งทำงานไปยิ่งรู้สึกไร้ความสุข ดังนั้น ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการทำเกษตรแบบอินทรีย์ 

 

Sponsored Ad

 

        “พวกเรามาคุยกันว่า อยากกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำให้สนใจการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภค และตัวคนทำด้วย โดยพวกเราพยายามหาข้อมูลและเข้าอบรมหาความรู้การทำเกษตรอินทรีย์หลายๆ ชนิด เลือกที่คิดว่าเหมาะสม และอยู่ได้อย่างยั่งยืนที่สุด โดยใช้พื้นที่ของครอบครัวจิ๊ป ขนาด 9 ไร่ ใน จ.ราชบุรี เพื่อจะร่วมกันทำเกษตรอินทรีย์” โดมกล่าว

        หลังจากเลือกเฟ้นสินค้าเกษตรหลายชนิด จนลงตัวที่จะปลูก “พริกซูเปอร์ฮอต” โดยเป็นการทำ “เกษตรแบบพันธะสัญญา” โดยจะมีบริษัทตัวแทนเข้ามารับซื้อ โดยให้คำสัญญารับประกันว่าจะซื้อผลผลิตทั้งหมด จากนั้น 3 หนุ่มร่วมลงขัน ลงมือลงแรงช่วยกันปลูกพริกซูเปอรฮอต ใช้เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เริ่มปลูกเมื่อประมาณ พ.ศ.2557 หรือ 3 ปีที่แล้ว ใช้ชื่อฟาร์มว่า "ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ฮาร์เวสท์ไลฟ์"

 

Sponsored Ad

 

.

        อย่างไรก็ตาม เมื่อผลผลิตออกมาแล้ว เกิดเหตุไม่คาดฝัน พริกซูเปอร์ฮอตราคาตก บริษัทตัวแทนจึงไม่ยอมรับซื้อผลผลิตตามที่ตกลงกันไว้ เกิดเป็นปัญหา ผลผลิตขาดตลาดรองรับ ในที่สุดต้องพยายามแก้สถานการณ์ ด้วยการหาตลาดขายเอง ทว่า การปลูกด้วยวิธีอินทรีย์ยากจะแข่งขันในตลาดสินค้าเกษตรทั่วไปได้ เพราะถูกกดราคาให้ต่ำ จนไม่คุ้มค่าต่อต้นทุนการปลูก ที่สุดกลายเป็นขาดทุน นับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้เกษตรกรหน้าใหม่เรียนรู้ว่า เส้นทางจะเป็นเกษตรกรไม่ได้สวยงามหรือง่ายอย่างที่คาดคิดไว้เลย

 

Sponsored Ad

 

        “ถึงพวกเราจะเรียนมาด้านการเกษตร แถมเคยทำงานบริษัทผลิตภัณฑ์เกษตรมาก่อน ก่อนจะลงมือทำ ก็ศึกษาหาข้อมูลมาอย่างดี แต่พอมาลงมือทำจริง ถึงรู้ว่า เรื่องที่เราเรียนมากับเรื่องจริง มันต่างกันสิ้นเชิง เพราะเราขาดประสบการณ์ มองโลกในแง่ดีเกินไป คิดแค่ว่า ปลูกผลผลิตให้ได้คุณภาพดีที่สุด โดยมีผู้รับซื้อแน่นอน แต่พอตัวแทนไม่ยอมรับซื้อตามที่ตกลงกันไว้ กลายเป็นว่าพวกเราก็ไม่มีช่องทางตลาดเลย” ชวัลวิทย์ เผยปัญหาที่เกิดขึ้น

ไข่ไก่ของ ฟาร์มเกษตรอินทรีย์ฮาร์เวสท์ไลฟ์

 

Sponsored Ad

 

        หลังจากล้มเหลวจากการทำเกษตรอินทรีย์ครั้งแรก พวกเขาพยายามตั้งต้นใหม่ หาพืชชนิดอื่นๆ มาปลูกทดแทน ทว่า กลับเจอปัญหาภัยแล้ง ช่วงปลายปี พ.ศ.2558 ต่อต้นปี พ.ศ.2559 แทบจะไม่สามารถจะปลูกพืชผลใดๆ ได้เลย 

        ระหว่างกำลังมืดแปดด้าน เกิดไอเดียจากภายในฟาร์ม เลี้ยงไก่ไข่ ไว้ประมาณ 20 ตัว ออกไข่ได้แค่วันละ 10 ฟอง เดิมแค่ให้ออกไข่ไว้กินกันเอง แต่หลังจากสำรวจตลาด พบว่า ผู้บริโภคมีความต้องการไข่ไก่ปลอดส า ร เ ค มี สูงมาก จากเทรนด์รักสุขภาพ นอกจากนั้น ยังเป็นการทำเกษตรที่ไม่ต้องพึ่งน้ำมาก เหมาะจะทำในภาวะเกิดภัยแล้ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเลี้ยงไก่ เพื่อขาย “ไข่ไก่ปลอดส า ร เ ค มี ” 

 

Sponsored Ad

 

ลักษณะเด่น คือ ไข่ขาวจะเนื้อข้น ไข่แดดจะนูน ไม่มีกินคาว นำไปประกอบอาหารจะสัมผัสได้ถึงความสดใหม่จากธรรมชาติแท้ๆ

Sponsored Ad

        โดม อธิบายเสริมว่า ไข่ไก่ของฟาร์มมีจุดเด่นที่จะเลี้ยงแบบปล่อยอิสระตามธรรมชาติ อาหารที่ใช้เลี้ยงผสมขึ้นเองจากพืชสมุนไพรนานาชนิด โดยเป็นพืชออแกนิกทั้งหมด ไม่ใส่ส า ร เ ค มี หรือสารเร่งฮอร์โมนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งการเลี้ยงด้วยวิธีนี้ จะทำให้ไก่สุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดี ไม่เครียด ช่วยออกไข่คุณภาพดีตามไปด้วย ลักษณะเด่น คือ ไข่ขาวจะเนื้อข้น ไข่แดดจะนูน ไม่มีกินคาว นำไปประกอบอาหารจะสัมผัสได้ถึงความสดใหม่จากธรรมชาติแท้ๆ ซึ่งในวงการจะเรียกไข่แบบนี้ว่า “ไข่ไก่อารมณ์ดี” 

.

        ทั้งนี้ ไก่ที่เลี้ยง คือ “ไก่สามสายพันธุ์” ประกอบมาจากสายพันธุ์โรดไอส์แลนด์ บาร์พลีมัทร็อค และเลกฮอร์น อายุการเลี้ยงประมาณ 5 เดือนสามารถให้ไข่ได้ โดยลักษณะเด่นของการเลี้ยงไก่ไข่แบบธรรมชาติ ไข่ที่ออกมาจะขนาดเล็กกว่าไข่ของไก่ที่เลี้ยงโดยเคมี เนื่องจากไม่ได้ใส่สารเร่งใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้น อัตราการออกไข่ของไก่ที่เลี้ยงโดยธรรมชาติจะอยู่ที่ประมาณ 50-60% ต่อวัน ในขณะที่ไก่ที่เลี้ยงด้วยเคมี อัตราการออกไข่จะสูงถึงกว่า 90% ทว่า อายุของไก่ที่เลี้ยงแบบนี้ อายุจะอยู่แค่ 1ปี ส่วนไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติจะอายุยืน 3-5 ปี

        “ไก่ไข่ที่เลี้ยงด้วยเคมี มันจะมีความเครียดสูงมาก ต้องถูกตัดปากให้อยู่บนรางเลี้ยง มีหน้าที่ออกไข่ให้ได้อัตราสูงที่สุด และขนาดไข่ฟองใหญ่ที่สุด ทำให้วงจรชีวิตของไก่ผิดธรรมชาติ อายุของมันเลยสั้นอยู่ได้แค่ 1 ปี และไข่ที่ออกมาก็เต็มไปด้วยเคมี แต่ไข่ไก่อารมณ์ดีของฟาร์มผม เลี้ยงตามธรรมชาติ ไม่ได้ใช้ส า ร เ ค มี ใดๆเลย แม้ขนาดไข่จะอยู่แค่ประมาณเบอร์1 แต่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยและคุณภาพดีแน่นอน”โดม ระบุ

        ส่วนการทำตลาดนั้น นำไข่ไก่อารมณ์ดีเสนอขายตามกลุ่มผู้ค้าส่งสินค้าเกษตรอินทรีย์ ภายใน จ.ราชบุรี ราคาขายประมาณ 4.5 บาทต่อฟอง โดยไข่จากฟาร์มฯ ได้ผลตอบรับจากลูกค้าอย่างดีมาก ทำให้มีออเดอร์เพิ่มต่อเนื่อง จึงขยายปริมาณการเลี้ยงแม่ไก่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน ทั้งหมดประมาณ 200 ตัว สามารถให้ไข่ได้วันละประมาณ 100 ฟอง รวมถึง เลี้ยงลูกเจี๊ยบเพิ่มอีก 200 ตัว ตั้งเป้าว่าภายในปีนี้ (2560) จะเพิ่มปริมาณเลี้ยงแม่ไก่อย่างน้อยเป็น 400-500 ตัว

        นอกจากนั้น กำลังปรับปรุงพื้นที่ 9 ไร่ในฟาร์ม รองรับการปลูกทำเกษตรอินทรีย์ชนิดอื่นๆ ที่ได้สำรวจมาแล้วว่าตลาดมีความต้องการ เช่น แก้วมังกร ผักปลอดสาร มันญี่ปุ่น เลี้ยงเป็ด และผลไม้ต่างๆ เป็นต้น รวมถึง ยกระดับฟาร์มให้ได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) 

        เกษตรกรหนุ่มยอมรับว่า ในแง่ของรายได้แล้ว ปัจจุบันยังไม่อาจเทียบกับตอนทำงานประจำเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนได้ แต่จากแนวทางที่หันมาทำสร้างตลาดขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยตัวเอง และเริ่มมีออเดอร์สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่า เส้นทางที่จะเดินไปมีโอกาสแห่งความสำเร็จรออยู่ในวันข้างหน้า และที่สำคัญที่สุด คือ ได้กลับมามีคุณภาพชีวิตดีขึ้น พบความสุขจากการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ มีสุขภาพดี และอยู่กับครอบครัว ซึ่งมีค่ามากกว่าจะตีเป็นตัวเงินได้

.

ชมคลิป...

คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<

ข้อมูลและภาพจาก วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ, mgronline