"กัน นภัทร" ขอบคุณโอกาสที่ได้รับ 10 ปี ในวงการบันเทิง ชีวิตเปลี่ยนเพราะเป็นเด็กวัด

LIEKR:

จากเด็กบ้านนอกมาตามฝัน จนประสบความสำเร็จ หนุ่มคนนี้คือแบบอย่างที่ดีมากๆ ค่ะ

        เชื่อว่าหลายคนที่ชอบฟังรายการร้องเพลง คงจะคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่มเจ้าของเสียงสุดหวาน เจ้าของตำแหน่งเดอะสตาร์คนที่ 6 ของเมืองไทย  จนกลายเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมาวันนี้ครบ 10 ปีแล้วที่เดินตามหาความฝันของตัวเอง สำหรับหนุ่ม "กัน นภัทร อินทร์ใจเอื้อ"

        ซึ่งทุกวันนี้มีแฟนๆ ที่รักและชื่นชอบเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเจ้าตัวยังสามารถเดินตามฝัน และทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จ ดูแลพ่อแม่ และคนในครอบครัวได้อย่างสุขสบาย รวมไปถึงขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคตรงหน้าเลย

 

Sponsored Ad

 

        โดย กัน ได้โพสต์ข้อความลงอินสตาแกรม ในวันที่ครบรอบ 10 ปีในวงการบันเทิงว่า "วันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่มาตามความฝันของตัวเอง จนได้เป็น The star คนที่ 6 ของเมืองไทย แล้วหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ชีวิตของผมก็ได้รับสิ่งดีดีมากมาย โอกาสดีดีมากมายในการทำงานที่ผมรัก ขอบคุณผู้ที่มอบโอกาสทุกๆ โอกาสเหล่านี้กับผมนะครับ..."

 

Sponsored Ad

 

        "...ขอบคุณมิตรภาพที่ดีจากเพื่อนๆ พี่น้องในวงการทุกคนที่ผมได้ร่วมงานด้วย ขอบคุณกำลังใจจากหัวใจสีฟ้าทุกดวงแฟนคลับที่น่ารักของผมที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ ขอบคุณครอบครัวสำหรับกำลังใจที่อบอุ่นที่สุดในโลก

และขอบคุณตัวเองที่มุ่งมั่น อดทน ตั้งใจ ฝ่าฟันกับทุกสิ่งที่ไม่เคยง่ายเลยจนผ่านมันมาได้ทุกครั้ง สุดท้ายขอบคุณ10ปีที่ผ่านมาที่มีค่าเหลือเกินในชีวิตของผม รัก #10thgunnapatanniversary"

ภาพจาก อินสตาแกรม gunnapat23

 

Sponsored Ad

 

        ซึ่งหนุ่ม "กัน นภัทร อินทร์ใจเอื้อ" หรือ กัน เดอะสตาร์ นั้น เคยได้ชื่อว่าเป็นเด็กวัดคนหนึ่ง เนื่องจากครอบครัวของเขาอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ทว่าพ่อแม่อยากให้เขาเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของเขาฝากฝังหนุ่มกันไว้ที่วัดกับเจ้าอาวาสที่สนิท ด้วยความสะดวกสบาย ใกล้โรงเรียน

        "ตอนนั้นชีวิตเปลี่ยนมาก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ เพราะอยู่สุพรรณพ่อแม่ตามใจทุกอย่าง แม่ดูแลตลอดถึงขั้นป้อนข้าวป้อนน้ำ ซักผ้ารีดผ้าทำให้ทุกอย่าง พอเรามาอยู่วัดทุกอย่างต้องดูแลตัวเองหมด ทั้งซักผ้า รีดผ้า กวาดห้อง หาอาหารกินเอง แบ่งเวลาอ่านหนังสือ"

 

Sponsored Ad

 

        รู้สึกอายมั้ยที่ตนเองเป็นเด็กวัด?

        "ตอนแรกเราก็กลัวว่าจะโดนเพื่อนๆ ดูถูกหาว่าเราเป็นเด็กวัด แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครดูถูกเลย ด้วยความที่เราได้เพื่อนดี เราอยู่ในห้องที่ดี เพราะเราเรียนได้ 3.9 มาตลอดก็เลยได้อยู่ห้องคิง จะมีแต่เพื่อนๆ ชื่นชมเรา อยากจะดูแลตัวเองเหมือนเรา ช่วงชีวิตวัยรุ่นผมค่อนข้างจะอยู่ในกรอบตลอด ผมทำอะไรจะคิดถึงพ่อแม่เสมอ"

        "ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะไม่ประกวดแล้ว ก็ได้ฝึกร้องเพลงทุกอย่าง เพลงบลูส์ แจ๊ส จนครูขอร้องให้กันไปประกวดเดอะสตาร์ 6 ได้ไหม ครูพูดว่ากันเป็นที่ 1 ได้ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกเชื่อ เพราะเราเพิ่งตกรอบมา ก็ย้อนกลับครูไปว่าผมเพิ่งตกรอบมาจะเป็นที่ 1 ได้ยังไง ครูก็บอกว่าเชื่อครูสิ ครูเห็นอะไรบางอย่าง แกก็เตรียมงานให้ทุกอย่าง จะใช้เพลงไหนร้อง เลือกเพลงยังไง จนสุดท้ายเรารู้สึกดีใจมากที่เราตัดสินใจกลับมาเลือกโอกาสนั้นอีกครั้งนึง"

 

Sponsored Ad

 

        ชีวิตเปลี่ยนอีกครั้ง

        "ตอนที่ได้เดอะสตาร์เป็นอีกครั้งนึงที่ชีวิตเราเปลี่ยน แต่ก่อนเราก็ใช้ชีวิตทั่วไป เช้าไปเรียนหนังสือเย็นก็กลับมาอยู่วัด ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ซึ่งตอนเข้าประกวดเดอะสตาร์มีเรื่องที่แย่ๆ คือเราคิดถึงบ้าน เพราะตลอด 3เดือนเราไม่สามารถติดต่อครอบครัวเราได้เลย ก็คอยถามพี่ๆ เขาตลอดว่าพอประกวดเสร็จจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ พอประกวดได้ตำแหน่งก็ตารางคิวแน่นตลอด เราก็จะนอยด์ๆ ว่าทำไมงานหนักจังเลย เราไม่ได้คาดคิดว่าเราจะมาทำหน้าที่อะไรขนาดนี้"

 

Sponsored Ad

 

        "เราแค่คิดว่าเราได้รางวัลแล้วจะมีเพลงเป็นของตัวเองแค่นั้นเลยจริงๆ ไม่คิดว่ากระแสเราจะขนาดนี้ ไม่คิดว่าคนจะมาต้อนรับเรา ไปโชว์ตัวห้างแทบแตก มีปัญหาก็หลายที่ ก็ดีใจที่มีคนรักเรามากขึ้น แต่ทุกอย่างมันก็มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบตามมาด้วย ทุกวันต้องทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ยอมรับว่าตอนแรกปรับตัวไม่ได้เลย เพราะไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน ไม่มีใครมาจับต้องติดตามเราทุกฝีก้าว เหมือนเรากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเองในช่วงแรกๆ"

Sponsored Ad

        ไม่เคยคิดว่าจะกลายเป็นนักแสดง

        "ตอนนั้นผู้ใหญ่ก็ยื่นโอกาสมาให้หลายอย่าง ผมก็รับไว้หมด ซึ่งผมเองไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าผมจะได้มาเล่นละคร ซึ่งมันรวดเร็วมาก เพราะเพิ่งจะมีซิงเกิ้ลไปไม่กี่เดือน ตอนนั้นยอมรับว่าดีใจมาก โทรไปบอกพ่อแม่ แต่เราก็กังวลเพราะเราไม่เคยมีทักษะด้านนี้มาก่อน ผู้ใหญ่ก็ส่งไปเรียนการแสดงกับหม่อมน้อย ตอนแรกก็ไม่ชินเลยครับ เป็นศาสตร์ที่เราไม่เข้าใจ ครั้งแรกที่เทคเป็น 10 ก็นอยด์มาก ช่วงนั้นก็ดราม่า มีน้ำตาตลอด จะตัดพ้อกับตัวเองว่าทำไมถึงทำไม่ได้ เพราะเราไม่เข้าใจ"

        "แต่พอหลังๆ เราเริ่มเข้าใจมากขึ้น พยายามเอาคำสอนของหม่อมมาปรับใช้ พอเรารู้จักเอามาใช้เรามีความสุขกับการเล่นละครมาก เหมือนเราได้หลุดไปเป็นอีกคนนึงที่ไม่ใช่ตัวเราเอง หลังจากนั้นผู้ใหญ่ก็ป้อนโอกาสให้มาเล่นละครเวทีอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่หนักมากในชีวิตของผม ตอนนั้นกดดันมาก เพราะโดนบ่นโดนว่าตลอด เราก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จนเราสามารถทำได้"

        ยึดถือหลักในการทำงานอย่างไร?

        "กันจะถือคติอย่างนึงว่าทุกครั้งที่จะทำอะไร ก็จะถือว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วเราจะได้ทำ เราไม่รู้เลยว่าเราจะมีโอกาสได้เล่นละครเรือนแพอีกรึเปล่า เราจะได้เล่นละครเวทีสี่แผ่นดินอีกรึเปล่า ก็เลยตั้งใจทำมันให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง..."

.

        บอกทุกวันนี้มาไกลเกินฝันแล้ว ส่วนอนาคตอยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเองควบคู่กับการเป็นนักร้อง

        "ก็อยากจะใช้ชีวิตในวงการนี้ให้นานที่สุด ที่ผ่านมาจะได้ยินมาตลอดว่าวงการนี้ฉาบฉวย เข้าง่ายแต่อยู่ยาวอยู่ยาก ซึ่งพอผมได้มาสัมผัสแล้วผมรู้เลยว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้อง การมาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเป็นคนที่มีวินัยสูง ต้องขยัน ต้องอดทน ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาเพื่อให้แฟนๆ ได้เห็นผลงานใหม่ๆ ของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพยายามทำอยู่ทุกวัน อนาคตของกันคือความมั่นคง วันนึงกันอยากมีธุรกิจแล้วก็มีอาชีพร้องเพลง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรารักและเป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันทั้งสองอย่าง"


ที่มา : thairath

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ