"บังโฟล์ค" เล่าครั้งแรกหลังปิดไว้นาน 3 ปี ตอนลงไปในปล่องถ้ำหลวงช่วย 13 หมูป่า
LIEKR:
จากกรณีที่อาสาสมัครกู้ภัย "นายกำพลศักดิ์ สัสดี" หรือ "บังโฟล์ค" หนึ่งในทีมงานคนดังภารกิจถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย
ผู้เคยโด่งดังไกลถึงขนาดสื่อต่างชาติบุกสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนตัว ได้ออกมาเล่าเรื่องราวเมื่อ 3 ปีก่อนขณะที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมอาสาที่เข้าไปช่วยเหลือกรณี 13 ชีวิตหมู่ป่า ออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ที่เจ้าตัวไม่เคยเปิดปากเล่าให้ใครฟังผ่านเฟซบุ๊ก Folk Kamponsak Sassadee
โดยบังโฟล์คได้เล่า ผ่านไปกว่า 3 ปี ก็เพิ่งเปิดเผยครั้งแรก กับภาพของหลักฐานบางสิ่งทึ่ไม่คิดว่าจะถูกพบในถ้ำแห่งนึงเหนือสุดในประเทศไทย ใกล้ชายแดนพม่า สถานที่ซึ่งห่างไกลจากบ้านกว่า 1,800 กิโลเมตร
.
จากนั้นวันที่มีการพบปล่องถ้ำ ทางเข้าเป็นลักษณะขนาดไม่กว้างมาก สำหรับคนที่เอวประมาณ 32 นิ้วพอหย่อนตัวลงไปได้ ความลึกดิ่งลงไปประมาณ 100 เมตร ตนให้บัดดี้รออยู่ข้างบนก่อน เมื่อหย่อนตัวลงมาที่พื้นดิน ความสูงไม่เกิน 2 เมตร ตนพบรอยถากของหินวางทับเป็นแท่น ๆ เหมือนเป็นร่องรอยของมนุษย์เป็นคนทำ จากนั้นเหลือบไปเห็น "กระสอบสีดำ"
และบริเวณกำแพงผนังมี "หินก้อนสีขาว" ติดอยู่ตามกำแพง ตนก็เอามือไปสัมผัสกับหินก้อนสีขาวดังกล่าวก็พบว่ามันเกาะกับกำแพงค่อนข้างแน่น ตนจึงถ่ายภาพเก็บไว้ ก่อนจะต้องรีบปีนออกมาเนื่องจากภายในอากาศเหลือน้อยแล้ว
และเมื่อเก็บอุปกรณ์เสร็จ ในระหว่างนั้นมีหน่วยทหารทีมหนึ่งถามว่าจะให้ปิดปากถ้ำก่อนไหม จะงัดหินก้อนเดิมมาปิดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มีตัวอะไรเข้าไปได้ แล้วพรุ่งนี้จะมาเปิดให้ใหม่ ในใจตนก็ล่องลอยพูดไปแบบไม่ทันคิดอะไรมากว่า "ปิดให้สนิทเหมือนเดิมที่สุด เพราะพรุ่งนี้อาจจะไม่ได้มาที่นี่อีก" และก็ไม่ได้มาที่นี่จริง ๆ เพราะหลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงขณะเดินทางกลับด้วยรถกระบะออฟโรดไต่ขึ้นเส้นทางขอบเหวลึก รถเกิดประสบเหตุ และก่อนจะเกิดเหตุเพียงไม่กี่นาที ตนเจอลูกแมว 2 ตัวริมทาง โดยตัวนึงมีถุงครอบหัวอยู่ตนจึงส่งสัญญาณให้รถหยุด แล้วก็กระโดดจากรถไปช่วยแมว ตนเลยคิดว่าถ้าไม่ลงไปช่วยแมวก็น่าจะเกิดเหตุกับตนเช่นกัน
ส่วนสาเหตุที่บังโฟล์คตัดสินใจมาเล่าในครั้งนี้ก็เพราะว่าอยากให้ชาวบ้านในพื้นที่ทราบว่าในแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่มีคุณค่า ซึ่งจะได้เกิดความรักและความหวงแหน และช่วยกันบำรุงรักษาสถานที่เผื่อวันข้างหน้าอาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ชมคลิป
คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิก <<< โพสต์ดังกล่าว ที่มา : เฟซบุ๊ก Folk Kamponsak Sassadee, AMARINTV : อมรินทร์ทีวี