จากคนโสดสู่คุณพ่อ "หนุ่ม ศรราม" เปิดใจชีวิตหลังแต่งงาน มีลูก-เมีย แค่ขยับก็โดนวิจารณ์!

LIEKR:

เป็นกำลังใจให้นะคะ

        ครอบครัวของ หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ กับศรีภรรยา ติ๊ก กนิษฐรินทร์ นั้น เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่อยู่ในกระแสโซเชียลตลอด ตั้งแต่เริ่มคบกัน จนถึงตอนนี้มีทายาทแล้ว ล่าสุด หนุ่ม ศรราม ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตที่ต้องฝ่าฟันกระแสต่างๆ

        คู่เราอยู่ในกระแสโซเชียลเยอะ ตั้งแต่แต่งงานกันเลย อยู่อย่างไรให้แข็งแรง ?

 

Sponsored Ad

 

        "พวกไซเบอร์ บู ล ลี่ ที่เข้ามาสร้างคอมเมนต์มันเป็นพวกอวตารอย่าไปใส่ใจมันมาก พอถึงเวลามันโดนแล้วสวนเข้าไปจริงๆ คือแลกไปมันก็ไม่มีราคาไม่คุ้มกัน นอกเหนือจากว่าเขาใช้คำที่มันหยาบคายเกินไปร่วงเกินบุพการีเรา หรือครอบครัวเรา ผมก็ ดำ เ นิ น ค ดี หมดผมฟ้องหมดมีเอกสารไปถึงหมด บางครั้งเรายังไม่ทันเข้าไปจัดการ ก็มีคนเข้ามาจัดการพวกเขาไปแล้ว

        อันนี้ผมพูดตรงๆนะ คนที่มากดยอดในรูปผม ส่วนใหญ่เขามาเพราะวีจิ คนที่มีครอบครัวเหมือนกัน เขาก็อยากที่จะดูครอบครัวเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาตอบคอมเมนต์เขามาตอบให้ด้วยความที่เขามีวุฒิภาวะของผู้ใหญ่ไม่ใช่เข้าไปใช้คำพูดที่ไม่สุภาพผมว่าเป็นแบบนั้นมากกว่า"

 

Sponsored Ad

 

        เรียกว่าเราไม่ได้ไปใส่ใจ เพราะบางคนโดนคอมเมนต์ บู ล ลี่ ก็จะนอยด์ ?

        "ผมทำอะไรไม่ทันอยู่แล้ว ตื่นเช้ามาก็เจอลูก เล่นกับลูกแป๊บนึง แล้วก็ลงรูป จากนั้นก็ไปถ่ายละครแล้วมีทุกฉากเลิกก็เย็น เวลาได้ไปอ่านคอมเมนต์แทบไม่มีเลย ติ๊กเขาก็สอนบอกว่าพี่ควรเข้าไปกดไลก์ให้คนที่เข้ามาเมนต์ให้กับวีจิบ้างนะ หรือว่าว่างก็ควรเข้าไปตอบคอมเมนต์เขาบ้าง คนที่เขาเข้ามาชมวีจิ เพราะว่ามันก็เป็นกำลังใจ ซึ่งก่อนหน้านั้นผมไม่รู้เลยว่าต้องทำด้วย ซึ่งพอมีเวลามันก็เลยกลายเป็นสิ่งเรานี้แทนเป็นเรื่องบวกไม่ใช่เรื่องลบ"

 

Sponsored Ad

 

        ติ๊กล่ะ โดน บู ล ลี่ ทำอย่างไร ?

        "ไม่มีอะไรเขาแข็งแรงอยู่แล้วหลังๆ ก็ไม่มีอะไร ผมจะบอกว่าบ้านเราเป็นบ้านแรกก็ได้ที่เราไม่ยอมพวกไซเบอร์ บู ล ลี่ ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นกับผมด้วย ไม่ได้เกิดขึ้นกับติ๊ก ตอนนั้นวีจิครบสองเดือนผมไปปารีสตอนนั้นมันมีข่าวเรื่องปุ๊กกี้ด้วย ซึ่งเรื่องปุ๊กกี้เดี๋ยวเราว่ากัน ประเด็นที่เราต้องไปตอนน้องอายุสองเดือนเพราะว่าวันที่วีจิคลอดวันที่ 8 เม.ย. อากงที่ปารีสเขามาไม่ได้ ซึ่งผมมีบ้านอยู่ที่นั่น อากงเป็น โ ร ค หั ว ใ จ มาเยี่ยมหลานไม่ได้ก็เลยปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์บอกว่า สองเดือนนี้แหละพาวีจิขึ้นเครื่องได้ เขาจะไม่ร้อง พอเอาเขาเข้าเต้าปุ๊บ เขาก็ไม่กวนคนอื่นบนเครื่องบิน แล้วเรานั่งเครื่องชั้นเฟิร์สคลาส บิสิเนสคลาสไป ให้น้องนอน แม่ให้นม ตื่นเช้ามาก็ถึงปารีส แล้วก็ไปเยี่ยมอากง พอไปถึงปุ๊บดราม่าเรื่องแรกบอกหนีออกนอกประเทศว่ากันไปนั้น อันนี้เพิ่งรู้ที่หลังก็ไม่เป็นไร

 

Sponsored Ad

 

        แต่ที่ผมตอบคอมเมนต์คนครั้งแรกและเป็นเรื่อง คือวันรุ่งขึ้นเพื่อนอาอี๊ ที่เขาเป็นคนไทยเขาทำงานที่ดิสนีย์ที่นั้น มีใครรู้บ้างว่าที่ปารีสมีดิสนีย์แลนด์ เราพาลูกมาให้เข้ามาอยู่ในบรรยากาศเดียวกับเด็กๆ ตอนนั้นเราก็ไลฟ์บรรยากาศให้ทุกคนได้ดูว่าผมก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันว่าที่ปารีสเขาก็มีดิสนีย์แลนด์ แล้วอากาศก็กำลังดีคนไม่แน่นจนเกินไป ถ้าเกิดใครมีโอกาสก็แวะมาเป็นการแบ่งปั่นให้เป็นแฟนได้เห็นด้วยผมทำแบบนี้ประจำ เวลาไปเที่ยวผมทำตัวเป็นไกด์อยู่แล้ว

        วันนั้นติ๊กก็เข้าไปเลือกชุดให้วีจิ ผมนั่งอยู่ข้างนอกเพิ่งไลฟ์ผมก็นั่งดูไลฟ์อ่านคอมเมนต์ ก็มีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา "ยังเล็กเกินไปไม่รู้เรื่องหรอก" ตอนนั้นที่ผมทำลงไป ทำโดยสัญชาตญาณความเป็นพ่อ ผมพิมพ์กลับไปเลยทันทีว่า “รู้เรื่องมากกว่าคุณอีกครับ” ไม่ได้ด่ าด้วยแต่อันนั้นเป็นเรื่องที่แรงมาก 3000 คอมเมนต์ ผมตอบแค่คำเดียวแต่ผมก็ถือว่าผมไม่ได้ตอบคำหยาบแต่เพียงแต่ว่าผมไม่เคยตอบ

 

Sponsored Ad

 

        ผมจำได้ว่าตอนนั้นติ๊กออกมากับอาอี๊ ผมก็บอกเขาว่า แม่พี่ตอบคอมเมนต์ไปอ่ะ ตอนนั้นผมตกใจที่ผ่านมาเราไม่เคยทำ เราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เรารักษาความรู้สึกตัวเองได้ แต่ตอนนั้นตกใจมาก บอกติ๊กพี่ตอบคอมเมนต์ไปทำยังไงดี เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ช่างมันเถอะพี่ วิธีการจัดการกับเรื่องโซเชียลคือเราไม่ควรให้ใครก็ตามมากันแกล้งเราแล้วทำให้เรามานั่งเครียดกับสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นครอบครัวแรกที่ออกมาบวกกับเขา"

        ตกใจไหมตอนนั้น เราตั้งใจพาลูกไปเที่ยวแต่มาเจอข่าวเรื่องแบบนี้ ?

 

Sponsored Ad

 

        “ผมพูดตรงๆ บางอย่างเราชี้แจง เราก็ชี้แจงได้ส่วนนึง ปัจจุบันเราก็เข้าใจว่าเอาดาราไปอ่านข่าวเยอะ ดารามานั่งทอล์กข่าวกัน มันไม่ใช่การอ่านข่าวในพระราชสำนักเหมือนแต่ก่อนแล้ว เดี๋ยวนี้มีรายการเอาดารามานั่ง แล้วก็เอาข่าวในเฟซบุ๊กมา ใครโพสต์อะไร ดราม่าก็เอามาพูด ก็พี่น้องเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น มีอะไรก็โทรมาถามกันซิ ไม่ใช่เอามาทำแบบนี้ไม่ถูก

        แทนที่เราจะมานั่งโกรธโซเชียล เราก็ใช้โซเชียลให้เป็น เพราะเราก็มาช่องของเรา ใครทำอะไรกับเรา เราไม่จำเป็นไปออกช่องของคุณ ผมมีช่องของผม ผมก็ไลฟ์จากปารีสว่าเกิดอะไรขึ้น ทีเดียวจบ คนไหนที่ว่าเรา ก็ได้แค่เอาที่เราไลฟ์แล้วก็ไปรายงาน แต่ถ้าใครเป็นมิตรกับเรา อยากต่อสายคุยกับเรา เราก็คุย”

Sponsored Ad

        นอกจากนี้อดีตพระเอกคนดัง ยังเปิดใจถึงชีวิตครอบครัวให้ฟังอีก

        ดูชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ พอมีครอบครัว ?

        “เพิ่งรู้ว่าความสุขที่มันเติมเต็มคืออะไร เวลาที่คุยกับมอส คุยกับนุษบา คุยกับกบ-สุวนันท์ เราก็ไม่เข้าใจว่าคำว่าเติมเต็มให้ที่สุดมันคืออะไร ถ้าชีวิตของคนที่ไม่มีได้ทำงานบันเทิง เขาก็จะมีบทเรียนความสุข เรียนประถม เข้ามัธยม เข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบรับปริญญา ทำงาน แล้วก็แต่งงาน ชีวิตเราก็จะไม่ได้โลดโผนเหมือนเรา ของเราทำงานมาตั้งแต่ 17 ปี แล้วเราโชคดีที่แฟนๆ เขาเมตตาทำให้เรามีวันนี้ และทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตเร็ว เร็วหมดทุกอย่าง ซื้อบ้านให้พ่อแม่ ซื้อรถ ซื้อที่ ดูแลทุกคนในครอบครัว แล้วอยู่ๆ มันก็แบ้งมาช่วงหนึ่ง ไม่มีแฟนเลย มอสใช้คำว่า พี่หนุ่มขับรถออกไป แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ตอนนี้เขาขับรถออกไป แต่พอถึงเวลาเขาต้องขับรถกลับบ้าน ไปหาพี่ติ๊ก ไปหาวีจิ คือเราเพิ่งรู้ว่า มันมีแรงขึ้นมาอีกที อยากไปทำงาน

        คือไม่ได้อยากให้วีจิ มองว่าเราเป็นพระเอก แต่อยากให้ลูกมองว่าเราเป็นฮีโร่ พ่อเป็นคนขยันนะ พ่อเป็นคนที่มีสัมมาคารวะนะ พ่อเป็นคนขี้เล่นนะ วันนึงเขาโตขึ้นมาเขาจะเห็นแบบอย่าง เขาจะรู้ว่าพ่อเป็นคนขยัน อดทน เป็นคนดี นี้เป็นสิ่งเราภูมิใจ และเรารู้แล้วว่าชีวิตเราเวลานี้ต้องการอะไร”

        ตอนนั้นที่เราไม่มีครอบครัว แล้วเห็นเพื่อนๆ มีครอบครัว เรามีความคิดที่อยากจะมีบ้างไหม ?

        “ผมเคยคุยกับติ๊กเล่นๆ ตอนที่เขาท้อง เขาบอกว่าถ้าวีจิ พูดได้ เขาจะหัดให้วีจิ พูดว่า ปะป๊ากลับบ้าน (หัวเราะ) เลิกงานแล้วกลับบ้าน ปะป๊าจะไปเตะบอล จะไปสังสรรค์อะไร จะสอนวีจิพูดเลยว่า ปะป๊ากลับบ้าน ขอตังค์ กับกลับบ้านสองคำนี้ กลายเป็นว่าตอนนี้เราอยากกลับบ้านเอง คือเราติดลูก เดี๋ยวนี้ถ่ายละครอยู่ พอเที่ยงปุ๊บก็ต้องวีดีโอคอล เป็นยังไงบ้างวีจิ กินข้าวหรือยัง แม่กินข้าวหรือยัง มันก็เป็นความสุขอีกแบบ เหมือนกับสิ่งที่มาทดแทนกัน”

        พอเป็นพ่อ มันทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม ?

        “ใช่ สุขุม วางแผน ปีนี้ผม 45 วีจิกำลังจะ 1 ขวบ ผมก็อยากเห็นลูกรับปริญญา ผมก็ไม่อยาก ต า ย เร็ว ต้องออกกำลังกาย จะสังสรรค์ก็เอาแต่พอเหมาะ พักผ่อนให้เต็มที่ ทำงานให้มันสดชื่น ไม่เครียด แล้วก็เตรียมความพร้อมให้กับเขา เพราะว่าวันที่เราอายุ 60 เขาเพิ่งอายุ 15 วันที่เขารับปริญญา ผมอายุ 65 เราต้องดูแลตัวเองอันนี้เป็นสิ่งสำคัญ เรื่องหนังเรื่องละคร คุณย่าเขาเก็บไว้ให้เยอะอยู่แล้ว และทำอะไรไว้ให้บางส่วนอยู่แล้ว ผมเองก็ไม่ได้มีนโยบายที่จะเลี้ยงลูกให้ฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว ผมอยากให้ลูกอยู่แบบธรรมดา พอกิน พอใช้ รู้จัดอดออม รู้จักกตัญญู รู้จักบุญคุณคน ตอบแทนคุณคน แผ่นดิน”

        ชีวิตคู่กับพี่ติ๊กเป็นอย่างไรบ้าง ?

        "ช่วงระยะเวลามันอาจจะสั้น แต่ถ้ามันใช่ก็ใช่ เขาเป็นคนจริงใจและเป็นคนตรง สิ่งสำคัญที่เราอยู่กันมาได้จนถึงทุกวันนี้ ใช้ชีวิตร่วมกันประคับประคองดูแลลูกดูแลอะไรหลายอย่าง บางอย่างเรายังไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเสียสละให้ลูกได้ขนาดนี้ ตอนที่เขายังไม่ท้องเขาเป็น เทนเนอร์ส่วนตัว พอท้องเขายอมกินทุกอย่างเพื่อให้วีจิมีผมเยอะ ผิวดี กินปลาจนทุกวันนี้ก็ยังให้นมลูกอยู่ เขามีสัญชาตญาณความเป็นแม่สูง เขามีความเหมือนผมอย่างหนึ่งคือ เราเป็นพวกแบกับดินเหมือนกัน กินข้าวข้างทาง ลากรองเท้าแตะเหมือนกัน"

        เรียกว่าไม่ต้องจูน ?

        "ใช่ มันเป็นความลงตัว วันแรกเขาอาจจะกินบะหมี่ข้างทางกับเราได้ เราใส่บาตรกินข้าวแกงเหมือนกัน เราอยู่ด้วยกันได้ลงตัว และเขาก็เป็นแม่ของลูก จะใช้คำว่าเป็นภรรยาอย่างเดียวไม่ได้ เขาเป็นแม่ของลูกที่ดี"

ข้อมูลและภาพจาก sornram_theappitak, khaosod

บทความที่คุณอาจสนใจ