LIEKR:
สื่อต่างประเทศรายงานมหาเศรษฐีอันดับต้นของญี่ปุ่น ฟ้องร้องลูกสาวของตนเอง ยึดทรัพย์จำนวน139 ล้าน เพราะสมรสกับสามีผิวดำ ถือเป็นปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ ที่ทำให้เกิดความบาดหมางภายในครอบครัว แถมยังเป็นครอบครัวของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
ฮันชางวู (Han Chang-woo) ได้ทำการฟ้อง นางมารีนา ฮาบะ วัย 51 ปี บุตรสาวคนโตในบรรดาลูก ๆ ทั้ง 6 คนของเขา โดยการฟ้องร้องในครั้งนี้นาย ฮันชางวู ได้ขอเรียกคืนเงิน 480 ล้านเยน (139 ล้านบาท) พร้อมดอกเบี้ย ทั้งยังพยายามดำเนินการที่จะยึดทรัพย์สินทั้งหมดของเธอและปิดกั้นบัญชีธนาคารของบุตรสาวอีกด้วย
Sponsored Ad
โดยนางมารีนา ฮาบะ (Marina Hab/ซึ่งยังคงใช้นามสกุลของสามีคนแรก) มีบุตรสองคน ซึ่งต่อมานางมารีนา ได้สมรสใหม่กับ โจ วอลเลซ(Joe Wallace) ชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งเธอได้เปิดใจว่า สาเหตุการฟ้องร้องในครั้งนี้เกิดจากที่พ่อของเธอไม่พอใจกับความสัมพันธ์ของเธอ
โดย มารีนา และ วอลเลซ พบกันครั้งแรกในปีพ.ศ.2534 เมื่อครั้งมารีนายังเป็นนักศึกษาและวอลเลซเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลมืออาชีพในญี่ปุ่น แต่ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวของตนเอง จนกระทั่งหย่าร้าง และทั้งสองได้กลับมาพบกันและสมรสกันในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งฮันชางวู ไม่เคยพบกับวอลเลซ มาก่อน
Sponsored Ad
"พ่อไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของฉันกับโจ พ่อได้กล่าวชัดเจนมากว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของฉันกับผู้ชายผิวดำ" มารีนา ระบุในเอกสารศาล ซึ่งนางมารีน่ายังบอกอีกว่า "นี่เป็นการเหยียดเชื้อชาติอย่างโจ่งแจ้ง" อย่างไรก็ตาม นายฮันชางวู เคยให้คำมั่นสัญญาด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในบริษัทมารูฮันของเขา โดยกล่าวว่า บริษัทของเขายึดมั่นในความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก
นายฮันชางวู เป็นชาวเกาหลีที่ลี้ภัยสงครามเกาหลีมาอาศัยที่ญี่ปุ่น เมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น ต่อมาเขาได้เข้าศึกษาต่อในด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโฮเซย์ และท้ายที่สุดก็ได้โอนสัญชาติเป็นชาวญี่ปุ่น
Sponsored Ad
ปัจจุบัน ฮันชางวู อายุ 89 ปี ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีเกาหลี-ญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท มารูฮัน ผู้นำร้านปาจิงโกะ (สล็อตแมชชีน) ทั่วประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้วเขายังติดการจัดอันดับเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในญี่ปุ่น และมักบริจาคเงินช่วยเหลือประเทศอยู่เสมอ ทั้งยังคอยบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีมาโดยตลอด
สื่อยังเปิดเผยอีกว่า นายฮันชางวู ได้โอนหุ้นบริษัท ให้ลูก ๆ ทั้งหกคน เป็นจำนวน 1.5 ล้านหุ้น และได้มอบตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงให้แก่บุตรชายเท่านั้น แต่บุตรสาวอย่างนางมารีนาก็ยังได้รับประโยชน์จากเงินปันผลบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
Sponsored Ad
ด้านนางมารีนา กล่าวในเอกสารของศาลและยืนยันว่า "การกีดกันทางเชื้อชาติของบิดาที่กดดันให้เธอตัดสินใจเลือกระหว่างสามีและการดำรงชีวิตของเธอนั้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิของเธอ" ซึ่งเธอตั้งใจจะฟ้องพ่อของเธอต่อศาลแขวงเกียวโต เพื่อขอคืนหุ้นปันผลที่มีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (9 พันล้านบาทโดยประมาณ) และได้จัดตั้งทีมทนายความระหว่างประเทศใน โตเกียว ลอสแอนเจลิส และ เกาะกวม จากสำนักงานกฎหมายรายใหญ่ Morrison & Foerster เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ เกิดจากเธออาจต้องเผชิญอุปสรรคในญี่ปุ่น ซึ่งโดยปกติศาลแพ่งมักจะเป็นมิตรกับจำเลย
Sponsored Ad
เธอยังเผยอีกว่า "มันเจ็บปวดมากที่พ่อซึ่งเป็นคนที่ฉันรักมาตลอดและแสดงความเคารพอย่างสูงสุด กลับฟ้องร้องฉัน เพื่อพยายามที่จะทำให้ฉันอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาและพยายามบังคับให้ฉันเลิกกับสามี"
ฮันชางวู ได้ยื่นฟ้อง มารีนา สองคดีที่ศาลแขวงเกียวโตลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2562 และวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2563 เพื่อขอคืนเงินปันผลที่ผ่านมาเป็นจำนวน 480 ล้านเยน (139 ล้านบาท) พร้อมดอกเบี้ย
ที่มา : straitstimes, khaosod