ลี มานตัต อภิมหาเศรษฐีฮ่องกง ราชา "ซอสหอยนางรม" จากไม่มีใครรู้จัก สู่ซอสอันดับหนึ่งของโลก

LIEKR:

จากซอสหอยนางรมที่แทบไม่เป็นที่รู้จักกันเลย สู่ซอสที่ทุกบ้านต้องมี ทำให้เขาทะยานขึ้นสู่อภิมหาเศรษฐีเบอร์ 3 ของฮ่องกง!

    กว่าจะกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องผ่านอะไรมามากมาย บางคนล้มเลิกถอดใจไปก่อนก็มี แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ชายหนุ่มผู้แบกรับกิจการซอสหอยนางรมของครอบครัว จะพาธุรกิจนี้พุ่งทะยานไปจนเขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีคนที่ 3 ของฮ่องกงได้

    จากการรายงานของสำนักข่าวฮ่องกง ประธานของกลุ่มลีกุมกี่ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีที่ผ่านมา จึงสามารถแซงเข้าป้ายเป็นอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของฮ่องกง ทั้งนี้ซอสหอยนางรมลิมกุมกี่ของบริษัทนี้ ไม่เพียงมีประจำอยู่ในแทบทุกครัวเรือนของฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังเป็นที่นิยมของพวกภัตตาคารจีนในต่างแดน

 

Sponsored Ad

 

    มีคำพูดติดปากที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงกันอยู่บ่อยๆ ว่า ฮ่องกงนั้นถูกปกครองโดยคนแซ่หลี่ หรือ ลี เพราะเหล่าเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ ผู้ทรงอำนาจอิทธิพลบารมีจำนวนมากทีเดียว ใช้แซ่นี้ ซึ่งอันที่จริงก็เป็นแซ่ใหญ่แซ่หนึ่งในแดนมังกร เช่น หลี่ กาชิง (Li Ka-shing) แห่งกลุ่มบริษัทเฉิงคง โฮลดิ้งส์ หรือ ลี เชากี (Lee Shau-kee) ผู้เป็นเจ้าของบริษัทเฮนเดอร์สัน แลนด์ เป็นต้น

 

Sponsored Ad

 

    แล้วในตอนนี้ซึ่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปรากฏว่าบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของฮ่องกงก็ใช้แซ่เดียวกันนี้อีก นั่นคือ ลี มานตัต (Lee Man-tat) ประธานของกลุ่มลีกุมกี่ ผู้เข้าสู่ตำแหน่งนี้ได้เมื่อทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว กลายเป็น 5 แสนล้านบาท (ประมาณ 17,100 ล้านดอลลาร์) และเข้าสู่ทำเนียบ “รายชื่อบุคคลร่ำรวยในเอเชียของนิตยสารฟอร์บส์” (Forbes Asia Rich List) ล่าสุดซึ่งนำออกเผยแพร่ในเดือนนี้

    นับเป็นครั้งแรก ที่ ลี มานตัต หักด่านเข้าสู่รายชื่อในระดับท็อปเทนได้สำเร็จ ถึงแม้ความร่ำรวยของเขายังคงถูกทิ้งห่างจาก หลี่ กาชิง และ ลี เชากี อยู่มากโข กลุ่มลีกุมกี่ ของ ลี มานตัต นั้นยังคงแทบไม่เป็นที่รู้จักอะไรกันเลย ถึงแม้ก่อตั้งขึ้นมานานย้อนหลังไปไกลได้ถึงปี 1888 ที่ตำบลหนานสุ่ย ของเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง

 

Sponsored Ad

 

    ซอสหอยนางรม “ลีกุมกี่” ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของเขา สามารถหาได้จากแทบทุกครัวเรือนในฮ่องกง ตลอดจนตามภัตตาคารร้านอาหารจีนจำนวนมากในตลอดทั่วโลก กลุ่มลีกุมกี่ซึ่งเป็นกิจการเอกชนไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลทางการเงินใดๆ แก่สาธารณชน แต่เป็นที่เชื่อกันว่าบริษัทสามารถขายพวกผลิตภัณฑ์ซอสทำจากถั่วเหลืองได้มากกว่า 100 ล้านขวดในแต่ละปี

 

Sponsored Ad

 

    ครอบครัวของเขายังเป็นผู้บริหารบริษัทขายตรงที่ใช้ชื่อว่า “อินฟินิตุส” (Infinitus) ซึ่งสามารถแซงหน้า “แอมเวย์” ในด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศจีน

    ด้วยรายรับอันมหาศาลที่ทำได้จากอินฟินิตุสนี่เอง กลุ่มลีกุมกี่ก็ได้กลายเป็นข่าวพาดหัวระดับโลก จากการเข้าซื้ออาคาร เลขที่ 2 ถนนเฟนเชิร์ช ในกรุงลอนดอน ในราคา 517,199 ล้านบาท (1,670 ล้านดอลลาร์) ซึ่งถือเป็นราคาสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการจ่ายสำหรับซื้อหาอาคารเพื่อการพาณิชย์เพียงอาคารเดียวในมหานครแห่งนั้น นอกจากนั้นแล้ว ทางกลุ่มยังได้ลงทุนอย่างน้อยที่สุด 1 ล้านล้านบาท (30,000 ล้านดอลลาร์) ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ฮ่องกงและตลาดโพ้นทะเล

 

Sponsored Ad

 

    สำหรับ “ลีกุมกี่” ผลิตภัณฑ์ซอสและเครื่องปรุงรสต้นตำรับจีนดั้งเดิมที่มีประวัติยาวนานกว่า 128 ปี ได้ชูสินค้าตัวเด่นอย่าง “ซอสหอยนางรมตราลีกุมกี่” ซอสหอยนางรมต้นตำรับ รสชาติระดับพรีเมี่ยม ผ่านสูตรลับเฉพาะและการผลิตอย่างปราณีตตั้งแต่ปี 1888 ผลิตจากหอยนางรมคัดสรรอย่างดี ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานทุกขั้นตอน จนถึงมือผู้บริโภค 

 

Sponsored Ad

 

.

    ไร้การแต่งรส และกลิ่นเพื่อให้ได้รสชาติหอยนางรมแท้ๆ อัดแน่นเต็มขวด คงคุณภาพแบบเจ้าแห่งต้นตำรับซอสหอยนางรมอย่างแท้จริง ตามสโลแกน “Quality Never Compromised” ผ่านการรับรองคุณภาพ และความปลอดภัยอาหารกว่า 600 ขั้นตอน จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้ลิ้มรสความอร่อยของซอสหอยนางรมแท้ พร้อมคุณภาพในทุกๆ คำ ทำให้ครองใจพ่อบ้านแม่บ้านทั่วประเทศได้ไปโดยปริยาย

ที่มา : today.line, infinitus

บทความที่คุณอาจสนใจ