LIEKR:
หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ
สื่อต่างประเทศรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคุณหมอท่านหนึ่ง ออกมาเปิดเผยเคสที่น่าสนใจ เกี่ยวกับพื้นที่ที่สกปรกและอาจมีการแพร่เชื้อโรคได้ง่าย เพราะเขาได้พบกับคนไข้หญิงคนหนึ่ง ที่จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองตาบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ
แม้ว่า "การขนส่งมวลชน" จะเป็นหนึ่งในวิธีการเดินทางที่คนทำงานทั่วไปส่วนใหญ่ต้องใช้ทุกวัน แต่บางสถานที่ที่ดูเหมือนจะปลอดภัย ความจริงแล้วกลับเป็นแหล่งซุกซ่อนเชื้อโรคที่ดีนั่นเอง
Sponsored Ad
ภาพจากรายการ
มีหญิงวัย 30 ปีคนหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมามีอาการตาขวาบวมโดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อไปหาหมอก็ตรวจพบว่า เป็นอาการของ “โรคงูสวัดขึ้นตา” หากรุนแรงกว่านี้อาจจะทำให้ตาบอดได้เลย แต่คุณหมอบอกว่า แม้ว่าในความเป็นจริงหญิงคนนี้และคนในครอบครัวเครือญาติไม่มีใครมีประวัติเคยเป็นโ ร ค นี้มาก่อนก็ตาม แล้วเธอเป็น โ ร ค นี้ได้อย่างไร?
Sponsored Ad
(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)
หลังจากที่หมอถามคำถามมากมายก็พบว่า หญิงคนนี้มีนิสัยชอบจับราวบันไดเลื่อนทุกครั้งที่ใช้ จากนั้นก็เอามือมาขยี้ตาโดยไม่ได้ล้างมือ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการ ติดเชื้อในครั้งนี้ก็เป็นได้
ศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียง เฉินหยงเจี้ยน ชาวไต้หวันได้ แบ่งปันกรณีนี้ให้ได้ทราบ และเตือนผู้ใช้การคมนาคมสื่อสารมวลชนว่า “จากการทำการสำรวจในหลายปีที่ผ่านมาพบว่า จุดที่ทำความสะอาดได้ยากคือ ราวจับบันไดเลื่อน ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรค อันดับ 1 ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า และอื่นๆ”
Sponsored Ad
(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)
ฉะนั้นหากสัมผัสราวบันไดเลื่อนก็ควรทำความสะอาดมือทุกครั้ง และอีกที่หนึ่งก็คือ บนรถเมล์ก็เป็นอีกถานที่ที่มักละเลยในการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง
Sponsored Ad
(เป็นเพียงภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น)
เกร็ดความรู้
"โรคงูสวัด (Herpes zoster)" เกิดจากเชื้อไวรัส VZV ซึ่งเชื้อไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ตามประสาทใต้ผิวหนังหลังจากเป็นอีสุกอีใสและแฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีจนถึงสิบ ๆ ปี รอจนวันที่ร่างกายของเราอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำลง เช่น อายุมาก เครียด อดนอน ติดเชื้อเอชไอวี หรือเป็นมะเร็ง เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดอาการปวด และเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวตามแนวเส้นประสาท
Sponsored Ad
งูสวัดขึ้นตา เกิดจากไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงดวงตาและผิวหนังบริเวณรอบดวงตา พบได้ประมาณ 15% ของคนที่เป็นงูสวัดทั้งหมด การที่มีผื่นงูสวัดขึ้นที่บริเวณปลายจมูก จะเป็นสัญญาณว่ามีโอกาสสูงที่ไวรัสจะกระจายเข้าไปในดวงตาด้วย
ถ้าเชื้อไวรัสติดเชื้อเข้าสู่ดวงตา จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้
Sponsored Ad
- ผื่นบริเวณเปลือกตา
- ตาแดง
- กระจกตาการอักเสบ
- ตามัว
- ตาสู้แสงไม่ได้
- ปวดตา
- ตาบวม
ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจทำให้กระจกตาเป็นแผลถาวรหรือกระจกตาทะลุได้ หรืออาจจะทำให้เกิดม่านตาอักเสบ จอประสาทตาบวม ความดันลูกตาสูงจนเป็นต้อหิน หรือเป็นต้อกระจกได้ในระยะยาว อาการทางตาที่รุนแรงเหล่านี้อาจจะพบได้ไม่บ่อย แต่สามารถส่งผลทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วนหรือตาบอดได้
Sponsored Ad
การรักษาโรคงูสวัด
- สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรง แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทาน ภายใน 2-3 วัน หลังเกิดอาการ เพื่อลดความรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น รวมทั้งช่วยลดอการปวดแสบ ปวดร้อนในภายหลังได้
- สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
- สำหรับผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา ควรรักษากับจักษุแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดทานและหยอดตา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา
แต่ยาที่ใช้จะไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่จะทำให้การอักเสบสงบลง และเชื้อไวรัสจะกลับไปฝังตัวอยู่ที่ปมประสาทเหมือนเดิม ถ้าร่างกายมีภาวะอ่อนแอก็กลับมาเป็นอีกได้
ซึ่งระยะหวังผลการรักษาให้หายมีอยู่แค่ 3 วันเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตรวจเจอแต่เนิ่น ๆ ถ้าบริเวณที่เจ็บนั้นมีตุ่มพองขึ้นในบริเวณเดียวกัน ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ยิ่งตรวจพบเจอเร็วก็สามารถใช้ยาต้านทานไวรัสไว้ได้ อาการเจ็บหลังเกิดโรคนั้นก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
การดูแลรักษาด้วยตัวเอง
1. ในระยะเป็นตุ่มน้ำใส ให้รักษาแผลให้สะอาด โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่น ๆ หรือกรดบอริค 3 % ปิดประคบไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วชุปเปลี่ยนใหม่ ทำวันละ 3-4 ครั้ง
2. ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลได้ ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ
3. ถ้าปวดแผลมาก สามารถทานยาแก้ปวดได้
4. ไม่ควรใช้เล็บแกะเกาตุ่มงูสวัด เพราะอาจทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง แผลหายช้า และ กลายเป็นแผลเป็นได้
5. การรับประทานอาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อห้าม
6. ไม่ควรเป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลหายช้าและกลายเป็นแผลเป็นได้
วิธีป้องกันงูสวัด
พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นในผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด โดยเฉพาะคนไข้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส ในบางรายอาจจะใช้การฉีดวัคซีนได้
ชมคลิปเพิ่มเติม
คลิปเปิดไม่ออก >>>>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<<<
ที่มา : news.tvbs | เรียบเรียงโดย ป๋าเถิก เปิดกรุ