“สรยุทธ” เผยความในใจ “คดีไร่ส้ม” ยากทำใจ แค่เปิดทีวียังไม่กล้า

LIEKR:

ไม่กล้าเปิดทีวีน้ำตาไหลไม่หยุด ติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว

    จากกรณีคดีไร่ส้ม เบี้ยวโฆษณาอสมท จำนวน 138 ล้าน โดยล่าสุดนายสรยุทธ เดินทางมาตามที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลลงโทษ นายสรยุทธ ไม่รอลงอาญา 6 ปี 24 เดือน

    ผลการตัดสินของศาลฎีกา พิพากษาจำคุก 6 ปี 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม อดีตพิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง ในคดีพนักงานของ อสมท ร่วมกับพนักงานของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ไม่ร่วมจัดทำค่าโฆษณาส่วนเกินของรายการ คุยคุ้ยข่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2549 จนเป็นเหตุให้ทาง อสมท เสียหายกว่า 138,790,000 บาท ตามที่มีรายงานไปแล้วนั้น

 

Sponsored Ad

 

    ด้านเพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้มีการโพสต์ข้อความระบุว่า เป็นความในใจของนายสรยุทธ ก่อนฟังคำพิพากษา โดย นายสรยุทธ เปิดเผยว่า ตนเตรียมใจมาแล้ว เชื่อว่าคงไม่รอด และก็ต้องยอมรับกับผลคำตัดสิน เพราะเป็นไปได้ยากที่ศาลฎีกาจะกลับคำตัดสินของทั้ง 2 ศาลก่อนหน้านี้

    โดย นายสรยุทธ ระบุว่า ตนต่อสู้เต็มที่แล้วตามกระบวนการยุติธรรม พยายามแสดงให้เห็นว่าบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกิน ในขณะที่ อสมท ก็โฆษณาเกินเช่นกัน และมากกว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ไม่เคยไปเบียดบังเวลาโฆษณาของ อสมท แต่เมื่อเห็นว่าสถานีเป็นเจ้าของเวลา จะทำอะไรก็ได้ ตนก็ยอมรับ ยืนยันว่ากระบวนการโฆษณาไม่เคยมีการปกปิด เพราะหากต้องการจะปกปิด ก็ปกปิดไม่ได้โดยเจ้าหน้าที่ธุรการเพียงคนเดียว 

 

Sponsored Ad

 

    ทั้งนี้ การจ่ายเช็คทั้ง 6 ฉบับ มีที่มาที่ไปว่าเป็นการจ่ายค่าจ้าง เพื่อให้ทำงานเกี่ยวกับการขายโฆษณา มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างครบถ้วน ยอดเงินเป็นเศษสตางค์ และตัวเลขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโฆษณาเกินเลย แต่เมื่อเชื่อว่าเป็นการจ่ายสินบน ตนก็ต้องยอมรับ และเงินค่าโฆษณาเกิน 138 ล้าน ตนได้ชำระให้ อสมท ไปครบถ้วนแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เกิดคดีความ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ทำให้ อสมท เสียหาย แต่เมื่อมันชดใช้สิ่งที่เห็นว่าผิดไปแล้วไม่ได้ ตนก็ยอมรับ

ภาพจาก Instagram sorrayuth9111

 

Sponsored Ad

 

    แน่นอนว่าตนย่อมกลัวการติดคุกติดตะราง แต่ชีวิตตนไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ได้สุขสบาย หรือไม่เคยลำบากตรากตรำ จนจะไปใช้ชีวิตในเรือนจำไม่ได้ หรืออยู่ลำบากไม่ได้ เชื่อว่าบางที ตอนที่ใช้ชีวิตทำงานมาร่วม 30 ปี อาจจะลำบากกว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำก็เป็นได้ แต่สำคัญที่ร่วม 30 ปี นั้น ตนมีอิสรภาพ

    เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2559 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ต้องหยุดทำงานที่เคยทำมาทุกวัน ทั้งที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ใครไม่เป็นตน คงไม่รู้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหน กับการต้องตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างที่เคย ช่วงนั้นไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดโทรทัศน์ อย่าว่าแต่รายการที่ตัวเองเคยทำ เพราะถ้าต้องเห็นสิ่งที่รักและเคยทำมาตลอด มันจะหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ตนทำได้อย่างเดียวคือ พยายามลืมชีวิตที่เคยเป็นมา

 

Sponsored Ad

 

    สำหรับตน การต้องหยุดทำงาน เหตุเพราะคำพิพากษาของสังคม คือความทุกข์ทรมานที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะคือการห้ามตนใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การห้ามทำอาชีพของตน อิสรภาพในการใช้ชีวิตของตนหมดไปตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อนแล้ว

    "ผมติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว ตลอด 4 ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้ วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือ ทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้

Sponsored Ad

    ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะราง จุดต่ำสุดของชีวิต แต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่งในที่สุดที่จะได้นับหนึ่งใหม่

    ขอบคุณทุกคนที่เจอกัน ก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้ จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา 21 มกราคม 2563"

ข้อมูลและภาพจาก เพจสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ,kapook

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ