LIEKR:
การเป็น “สิว” นั้นแสนเจ็บปวดมากและน่าอายมากเช่นกัน ที่สำคัญมันยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอีกด้วย ทำให้คุณไม่อยากจดจำประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดนี้เลย
แม้ว่ารอยแผลเป็นจากสิวส่วนใหญ่จะหายไปหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แต่คุณสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อเร่งการฟื้นตัวของรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวและป้องกันไม่ให้ผิวหมองคล้ำได้ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง..
Sponsored Ad
1.ใช้น้ำมะนาวสด
น้ำมะนาวเป็นสารฟอกสีตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยแผลเป็นจากสิว
เพียงแค่ผสมน้ำมะนาวและน้ำในปริมาณที่เท่ากัน จากนั้นทาตรงบริเวณที่เป็นรอยสิว ทาทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด อย่าทาบริเวณผิวหนังรอบรอยแผล
Sponsored Ad
จำไว้ว่าต้องทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหลังจากล้างออก เพราะกรดซิตริกจะทำให้ผิวค่อนข้างแห้ง
นอกจากนี้ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมีกรดซิตริกสามารถใช้แทนน้ำมะนาวได้หากจำเป็น
2. ใช้เบกกิ้งโซดาขัดหน้า
Sponsored Ad
เบคกิ้งโซดาสามารถขจัดเคราตินผิวและลดรอยแผลเป็นจากสิวได้อย่างมาก
เพียงผสมเบคกิ้งโซดาหนึ่งช้อนกับน้ำสองช้อนชา ทาและลูบไล้ให้ทั่วใบหน้าให้ผิวดูดซับส่วนผสมได้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นสิว
หลังจากการนวดประมาณ 2 นาทีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น
นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้เบกกิ้งโซดาเพื่อบำบัดผิวหน้า โดยการผสมเหมือนข้างต้น แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นทิ้งไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างออก
3. ใช้น้ำผึ้ง
Sponsored Ad
“น้ำผึ้ง” เป็นยารักษาสิวจากธรรมชาติที่ดี ซึ่งสามารถลดการเกิดผื่นแดงจากสิวได้
เนื่องจากน้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อที่สามารถช่วยบรรเทาอาการไม่สบายผิวและลดการอักเสบ
สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย “น้ำผึ้ง” เป็นทางเลือกที่ดี
น้ำผึ้งไม่ระคายเคืองผิว และยังสามารถให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ด้วย ในขณะที่การรักษาอื่น ๆ มักทำให้ผิวแห้ง
หากมีผงไข่มุก
คุณสามารถผสมผงไข่มุกและน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อรักษาอาการอักเสบของผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะผงไข่มุกมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
Sponsored Ad
4. น้ำว่านหางจระเข้
“น้ำว่านหางจระเข้” นั้นบริสุทธิ์ตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติในการบรรเทาปัญหาที่เกิดจากผิวต่างๆเช่น แผลไหม้ บาดแผลและสิว
น้ำว่านหางจระเข้ยังสามารถคืนความกระจ่างใสของผิวและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวเพื่อเร่งรอยแผลเป็นจากสิว
Sponsored Ad
คุณสามารถซื้อน้ำว่านหางจระเข้ได้ที่ร้านขายยา แต่วิธีที่ดีที่สุดคือซื้อว่านหางจระเข้และรักษาผิวด้วยน้ำจากใบ
เจลนี้สามารถนำไปใช้โดยตรงกับรอยแผลเป็นที่ผิวหนังโดยไม่ต้องล้างออก
หากมีแผลเป็นมากขึ้นคุณสามารถใช้น้ำมันยอดใบชา (ซึ่งจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนกระจ่างใส) ผสมกับน้ำว่านหางจระเข้ทาบนใบหน้า ตื่นเช้ามาค่อยล้างออก
5. ใช้ก้อนน้ำแข็ง
Sponsored Ad
ก้อนน้ำแข็งเป็นวิธีรักษาสิวที่เรียบง่าย โดยเฉพาะที่บ้านเพราะมันสามารถช่วยรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยผ่อนคลายผิวที่อักเสบและลดรอยแดง
เพียงแค่ห่อน้ำแข็งด้วยผ้าสะอาด จากนั้นนำมาถูกบนใบหน้า หรือแนบติดบริเวณที่ผิวมีปัญหาประมาณ 2-3 นาที ช่วยลดอาการแดงและลดการอักเสบได้
คุณสามารถใช้ชาเขียวเข้มข้นใส่ในถาดแม่พิมพ์น้ำแข็งเพื่อทำน้ำแข็ง จากนั้นนำก้อนน้ำแข็งที่ทำจากชาเขียวไปแนบกับใบหน้าของคุณ
ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและมีผลในการลดอุณหภูมิน้ำแข็งก้อนได้อีกด้วย
6. ทำครีมไม้จันทน์
“ไม้จันทน์” เป็นที่รู้จักกันดีในการรักษาอาการผิวและง่ายต่อการทำที่บ้าน
เพียงใช้ผงไม้จันทน์ขนาดเล็กหนึ่งช้อนและน้ำหอมหรือนมผสมให้เข้ากัน
ใช้ส่วนผสมนี้ในทาบริเวณที่เป็นปัญหาหรือเป็นสิน ทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วล้างออก
ทำซ้ำขั้นตอนนี้ทุกวันจนกว่ารอยแผลเป็นจะหายไป
นอกจากนี้คุณยังสามารถผสมผงไม้จันทน์กับน้ำผึ้งเล็กน้อย เป็นการรักษาเฉพาะที่บนรอยแผลเป็นได้
7. น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล
น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล สามารถควบคุมค่า pH ของผิวหนังและปรับปรุงคุณภาพผิวอย่างช้าๆลดการเกิดผื่นแดงและรอยแผลเป็น
น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลเจือจางลงในน้ำที่มีความเข้มข้นตามปกติในระดับที่เท่ากัน จากนั้นนำไปใช้กับบริเวณที่เป็นสิวหรือผิวที่มีปัญหา โดยใช้สำลีชุบแล้วทาทุกวัน ช่วยรักษารอยแผลเป็นและสิวหายไปได้
หรือใช้วิธีอื่นๆ เช่น ครีมหรือวิธีทางการแพทย์ ดังนี้
1.ใช้ครีมน้ำมันต้นสน
สามารถลดการอักเสบของผิวหนังและเร่งการฟื้นตัว
ปรึกษาแพทย์เพื่อดูว่าคุณเหมาะกับครีมชนิดใด
2. ครีมไวท์เทนนิ่งทั่วไป
ครีมไวท์เทนนิ่งเหล่านี้อาจมีกรดโคจิกอาร์บูติสารสกัดจากชะเอม มัลเบอร์รี่และวิตามินซีส่วนผสมเหล่านี้สามารถทำให้ผิวขาวอย่างปลอดภัยรักษาผิวคล้ำที่เกิดจากสิวได้
อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนน (hydroquinone)
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดไกลโคลิกและกรดซาลิไซลิก
กรดไกลโคลิกและกรดซาลิไซลิพบได้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายอย่างเช่น ครีมขัดผิวหรือครีมขี้ผึ้ง
ส่วนผสมเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการขจัดเคราตินผิวออกจากบริเวณที่มีเม็ดสีที่สัมผัสและทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้คุณยังสามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหากระบวนการปรับสภาพผิวด้วยกรดไกลโคลิก
4. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A
ครีมเรตินอยด์ (Retinoids) เป็นอนุพันธ์ของวิตามิน A ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อรักษารอยตีนกา ริ้วรอยการเปลี่ยนสีผิวและสิว
ครีมเรตินอยด์ สามารถเร่งการสังเคราะห์คอลลาเจนและเร่งการเผาผลาญของเซลล์ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
ขี้ผึ้งเหล่านี้อาจมีราคาแพงกว่า แต่เนื่องจากรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แพทย์ผิวหนังหลายคนจึงแนะนำให้ใช้
5. การรักษาด้วยเลเซอร์
หากสิวไม่จางหายไปหลังจากสองสามเดือนคุณอาจต้องใช้การรักษาด้วยเลเซอร์
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและผลข้างเคียงของกระบวนการ
6. ลองใช้ฟิลเลอร์
รอยแผลเป็นจากสิวอาจทิ้งรอยบุบถาวรบนผิวหนัง
การฉีดฟิลเลอร์จะเติมรอยแผลเป็นเหล่านี้เป็นการชั่วคราวและปรับผิวให้เรียบ
7. การบำบัดผิวด้วยระบบ microdermabrasion และผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
วิธีนี้ไม่สามารถทำให้รอยแผลเป็นหายในทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลาสักหน่อยกว่าผิวจะผลัดเซลล์ใหม่ขึ้นมา หากคุณรู้สึกว่าวิธีข้างต้นไม่ได้ผล หรืออยากทำให้ผิวดูดี กระจ่างใส่ขึ้น สามารใช้วิธีนี้ได้
8. ให้ความสนใจกับการปกป้องผิวจากแสงแดด
เพราะรังสีอุลตร้าไวโอเลตจากดวงอาทิตย์จะกระตุ้นให้เข้าสู่เซลล์ผิวชั้นนอกให้เกิดเม็ดสีมากขึ้น ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดูดำยิ่งขึ้น
ฉะนั้นก่อนออกแดดควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวของคุณด้วยครีมกันแดดที่มีค่าSPF 30 หรือสูงกว่านั้น
หรือสวมหมวกป้องกัน และพยายามอยู่ในที่ร่ม
9. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
หลายครั้งที่คนใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวและการเปลี่ยนสีผิวแม้กระทั่งการใช้ผลิตภัณฑ์ขัดถูหรือการบำบัดซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สถานการณ์แย่ลงได้
ดังนั้นเราควรเลือกผลิตภัณฑ์ตามลักษณะผิวของคุณ หากพบว่ามีปฏิกิริยาไม่ดีต่อผิวหลังควรหยุดใช้ทันที
ยึดติดกับใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่อน ๆ ล้างเครื่องสำอางออกทุกครั้ง จากนั้นใช้มอยเจอร์ไรเซอร์และสครับเพื่อบรรเทาความรู้สึกไม่สบายผิว ต่อด้วยครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับผิวหน้าของเรา
อย่าล้างหน้าด้วยน้ำร้อน เพราะน้ำอุณหภูมิสูงจะทำให้ผิวแห้งมากดังนั้นควรใช้น้ำที่อุณหภูมิต่ำ
10.ขัดผิวเป็นประจำ
การขัดผิวเป็นประจำช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหนังกำพร้าออกไป ทำให้มีเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน ดูแล้วสดใสเปร่งปรั่งมาก
11. ห้ามบีบสิวหรือรอยแผลเป็น
เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้เป็นรอยช้ำและแผลเป็นที่ใหญ่กว่าเดิม
12.ดื่มน้ำให้เพียงพอในทุกๆวัน
แม้ว่าการกินเพื่อสุขภาพและการดื่มน้ำให้เพียงพอ อาจไม่ทำให้แผลเป็นหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ในพริบตา แต่กิจวัตรประจำวันเหล่านี้จะช่วยให้ผิวหนังฟื้นตัวได้ในสภาพที่ดีที่สุด
และการกินผักเช่น บรอคโคลี่ ผักโขมและหัวไชเท้า มีวิตามิน A,C,E ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น
ที่มา:ezvivi3
แปลและเรียบเรียงโดย Liekr