สื่อนอกยกย่อง "พันโทลัดดา" ส.ว.เชื้อสายไทย ตัวเต็งนั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

LIEKR:

ถ้าเธอได้รับให้นั่งตำแหน่งนี้ เธอจะกลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้รับตำแหน่งระดับสูงมากในรัฐบาลสหรัฐฯ #เลือกตั้งสหรัฐ2020

        เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า "โจ ไบเดน" (Joe Biden) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 

        ได้ออกมาเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่คาดว่าจะเลือกเข้ามาเป็นรัฐมนตรีและร่วมจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีรายชื่อบุคคลที่น่าสนใจและเข้าชิงในตำแหน่งที่สูงมากอีกด้วย

 

Sponsored Ad

 

        และบุคคลดังกล่าวคือ นักการเมืองหญิงชาวอเมริกันเชื้อสายไทย วัย 52 ปี อย่าง "ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ" (Ladda Tammy Duckworth) ที่มีโอกาสสูงมากว่าจะได้เป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ"

 

Sponsored Ad

 

        ต้องบอกเลยว่าประวัติ ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ นั้นไม่ธรรมดาเพราะเธอคืออดีตพันโท เข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ มาเกือบ 3 ทศวรรษ เธอเป็นทหารผ่านศึกผู้สูญเสียขาทั้งสองข้างไปในสงครามอิรัก เมื่อปี 2547

        ทั้งนี้เธอยังเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ในสมัยประธานาธิบดี "บารัค โอบามา" (Barack Obama) 

 

Sponsored Ad

 

        และปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภารัฐอิลลินอยส์ สังกัดพรรคเดโมแครต

 

Sponsored Ad

 

        นอกจากนี้แล้วเธอยังอยู่ในรายชื่อบุคคลที่นายไบเดนจะเลือกเป็นคู่ชิงเลือกตั้ง แต่ผู้ที่ได้ตำแหน่งนั้นไปคือ "คามาลา แฮร์ริส" (Kamala Harris) ผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่จะได้เป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา [อ่านข่าว : เปิดประวัติ "คามาลา แฮร์ริส" สตรีอเมริกัน-เอเชีย ผู้สร้างประวัติศาสตร์ รองประธานาธิบดีหญิงคนแรก]

        ทั้งนี้หากเธอได้รับเลือกให้เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ นั้นแปลว่าเธอจะกลายเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่จะได้รับตำแหน่งนี้ รวมทั้งเป็นผู้หญิงอเมริกันเชื้อสายไทยคนแรกที่ได้รับตำแหน่งระดับสูงมากในรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย

 

Sponsored Ad

 

        [อ่านข่าว : สตรีเชื้อสายไทย "คุณลัดดา" ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ทำคนอเมริกันแท้ๆ หลุดจากตำแหน่งไม่เป็นท่า]

        [อ่านข่าว : เปิดประวัติ "พันโทลัดดา ดักเวิร์ธ" ส.ว. ลูกครึ่งไทยในอเมริกา ตัวเต็งขึ้นแท่น รองประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป]

ที่มา : The New York Times

บทความที่คุณอาจสนใจ