"ความเงียบ-นิ่งเฉยกับสิ่งที่คิดในใจ" เป็นจุดเริ่มต้นของความห่างเหิน ระวังมันจะกลับมาทำร้ายคุณ

LIEKR:

เลือกที่จะเงียบเพราะอยากให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่อาจทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงได้

        "การเงียบ" ไม่พูดจาอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความห่างเหินของความสัมพันธ์ เพราะเมื่อคนหนึ่งไม่พูด ส่วนอีกคนก็ไม่ถาม นั่นก็อาจทำให้ความเข้าใจกันน้อยลง ขาดการปรับความเข้าใจ มีอยู่หลายคู่ที่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจนต้องเลิกรากันไป ทุกคนมาจากพื้นเพครอบครัวต่างกัน ย่อมมีโลกส่วนตัวที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนก็มีเป้าหมายชีวิตต่างกัน บางคนต้องการความสุข เงินทอง หรือความก้าวหน้าในชีวิต เมื่อเรามองไปข้างหน้าแล้ว อาจลืมมองกลับมาคนที่เคยอยู่เคียงข้างคุณ

 

Sponsored Ad

 

“เมื่อขาดการปรับความเข้าใจ ความสัมพันธ์ก็อาจหลงทางได้”

        เพราะไม่ได้พูดคุยกัน จึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องมีอีกฝ่ายก็ได้ หากเลือกที่จะนิ่งเฉย อาจทำให้เข้าใจผิดกันได้ การพูดคุยกันต่างหากที่จะทำให้เกิดความเชื่อใจต่อกัน หากสองคนเลือกที่จะไม่พูดคุยกัน แม้กระทั่งตอนที่อยู่ห่างกัน จากตอนแรกคบกันที่เชื่อว่าพวกคุณเข้าใจกัน และจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ใครก็คงไม่รู้ว่าวันหนึ่งความเงียบอาจทำให้ปัญหาที่มีอยู่ยิ่งทวีคูณ

        มีนักเขียนคนหนึ่งเคยเขียนไว้ว่า  “ถึงแม้ว่าจะวิ่งหนี แต่ก็หนีไม่พ้นความเหงาและความเหนื่อยล้า ถึงแม้จะรักเพื่อนพ้อง แต่ก็ย่อมมีจิตใจที่เอนเอียง ถึงแม้เพื่อนแท้จะดีแค่ไหน แต่เวลาผ่านไปก็ย่อมมีห่างเหิน ถึงแม้ว่าช่วงเวลาวัยรุ่นมีโอกาสให้ลองผิดถูก แต่เมื่อนึกย้อนดูก็จะรู้ว่าเวลานั้นจำกัดกว่าสิ่งใด” 

 

Sponsored Ad

 

        เพราะเวลาคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนเปลี่ยนได้ง่าย เมื่อรวมกับสภาพแวดล้อมยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจนแทบตามไม่ทัน คนที่คุณเคยรักมากก็อาจห่างเหินโดยคุณไม่ทันคาดคิดได้

        บางทีอาจเป็นเพราะในเวลาที่มีอะไรอยู่ในใจ มีความคิดเห็นบางอย่าง มีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น หรือแม้แต่ในเวลาคิดถึงกัน แต่กลับเลือกที่จะนิ่ง ไม่ยอมพูดออกมา เลือกที่จะเก็บเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว คนอื่นย่อมไม่มีทางรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ บางครั้งการอดทนไม่ใช่คำตอบของความสัมพันธ์

 

Sponsored Ad

 

        ในทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเพื่อน คู่รัก หรือครอบครัว หากคุณไม่พูดเรื่องที่คุณกำลังคิดอยู่ ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจตัวเอง หรือได้แต่รับฟังเรื่องของอีกฝ่าย นั่นอาจจะไม่ใช่แค่การทำร้ายตัวเอง แต่เป็นการยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกห่างเหินแทน ยิ่งรู้สึกว่าห่างเหินมากขึ้นเท่าไร วันหนึ่งพวกเขาก็จะเดินไปจากคุณ

“ฉันจะไป คุณไม่รั้งเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นก็จบกันเสียเถิด”

 

Sponsored Ad

 

        ประโยคอันคุ้นเคยตามละครโทรทัศน์ที่ว่า “ถึงจะรั้งไว้ ฉันก็จะไป” บางทีอาจดูจริง แต่รู้ไหมว่ามันขัดกับความรู้สึกในใจอย่างประหลาด เพราะถ้าหากว่าคนเราจะจากไปจริง แล้วจะสนใจทำไมว่าอีกฝ่ายจะรั้งไว้ เพราะลึกๆ แล้วในใจคนเรายังคาดหวังให้อีกฝ่ายตามง้อ หรือมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกทรมานเพราะรักเราเป็นแน่

        จิตใจคนเรานั้นยากที่จะหยั่งถึง เราทุกคนมีความคาดหวังต่อกัน ไม่ว่าคนรักหรือเพื่อน และทุกคนที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน ความสัมพันธ์ที่จะอยู่ได้ยืนยาว ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ทุ่มเทให้มากกว่า และต้องมีฝ่ายหนึ่งที่เริ่มก่อนเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะพบว่า ฝ่ายที่ทุ่มเทมากกว่าจะเริ่มจืดจางลงไป เพราะพวกเขาเริ่มเฉยชากับอีกฝ่ายที่ไม่ยอมทำอะไรเลย จนมีหลายคนที่ชอบใช้ “คำบอกเลิก” มาทดสอบอีกฝ่ายว่าคิดยังไงกับตัวเอง แต่คุณรู้ไหมว่าจิตใจคนเราบอบบางเสียเหลือเกิน การบอกลาอาจไม่ใช่แค่ความคิดชั่วครู่อย่างที่คิดไว้ แต่เป็นการตัดสินใจอย่างถาวรต่างหาก

 

Sponsored Ad

 

        หลายอย่างที่ผิดพลาดไป ไม่ใช่เพราะผิด แต่เป็นเพราะพลาดในเรื่องของ “เวลา” ไปต่างหาก คนที่เขาอยากจะไปจากคุณ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องไป ยิ่งเหนี่ยวรั้งไว้ก็ไม่ได้หนีไปจากความจริงข้อนี้


“ฉันจะไม่ยอมให้เหมือนก่อนอีกแล้ว”

 

Sponsored Ad

 

        สำหรับบางคนอาจเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งยอมให้อีกฝ่าย หรือฝ่ายหนึ่งเป็นคนเอาแต่ใจ และอีกฝ่ายต้องยอมให้ไปตลอด คนอื่นอาจมองว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี เพราะความแตกต่างของแต่ละฝ่ายทำให้อยู่ร่วมกันได้ แต่เคยคิดไหมว่าหากวันหนึ่งฝ่ายที่เอายอมให้เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะให้เกียรติบ้าง ทำให้ทะเลาะกัน เพราะอีกฝ่ายยังคงเอาแต่ใจไม่ยอม ไม่ถอย และไม่ก้มหัวให้เลย คุณยังคิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะยังอยู่ร่วมกันได้หรือ

        ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบก็ต้องมีความสมดุลต่อกันจึงจะอยู่ร่วมกันได้ จะยอมให้อีกฝ่ายได้ แต่อีกฝ่ายก็ต้องสลับกันยอมไปด้วยกัน เมื่อเวลาผ่านไปจะรู้ได้เองว่าฝ่ายที่เอาแต่ได้ และอยู่เหนือกว่าตลอดเวลา ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจได้เลยในระยะยาว

Sponsored Ad

“ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้มาพบเจอกัน และเลิกราจากกัน”

        สุดท้ายคุณอาจจะพบว่าคนที่ยังอยู่กับคุณ อาจไม่ใช่คนที่ทำให้รู้สึกเร่าร้อนที่สุด แต่กลับเป็นคนที่อยู่แล้วสบายใจที่สุด และทำให้คุณรู้สึกตัวเองมีคุณค่า สุดท้ายจะพบว่าชีวิตคนเราเหลือเพียงไม่กี่คนที่อยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยกัน เพราะหลายคนที่เข้ามาในชีวิต เป็นเพียงคนร่วมทางที่รอลงสถานีต่อไปเท่านั้นเอง

        “ขอบคุณเพื่อนเก่า แฟนเก่าที่เคยอยู่เคียงข้างกันมา และปรารถนาให้พวกเขาสบายดี” เมื่อปล่อยวางได้เช่นนี้แล้ว คุณจะเข้าใจว่า “เวลา” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่ารอให้เวลาผ่านไปจนคุณแก่ตัว ไม่รู้เลยว่าเราใช้ชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี สิ่งในใจที่เก็บเอาไว้ก็ควรจะรีบบอกไปให้อีกฝ่ายรู้ ไม่ว่าจะทำร้ายเขาหรือไม่ก็ตาม รีบทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสให้พูด ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจผิด ก่อนที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณเป็นเพียงแค่อดีต หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณดีขึ้น

แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR

บทความที่คุณอาจสนใจ