เรื่องเล่า "ถุงยังชีพพระราชทาน" จากในหลวง-พระราชินี แม้ไม่ใช่ถุงวิเศษ แต่ทำไมกลับมาค่ามหาศาล

LIEKR:

พระองค์ทรงเคียงข้างประชาชน ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    ชวนประทับใจกับเรื่องเล่ายามวิกฤต ประสบการณ์การได้รับ ‘ถุงยังชีพพระราชทาน’ ของประชาชนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งทำให้ประจักษ์ว่า ทำไมสิ่งนี้ถึงมีค่ามหาศาลสำหรับใครหลายๆ คน

    สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากความช่วยเหลือจากภาครัฐบาล ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนผู้มีกำลังทรัพย์และจิตสาธารณะแล้ว ความช่วยเหลือจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตนี้ จะเห็นได้จากหลากหลายน้ำพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่พร้อมพระทัยกันพระราชทานความช่วยเหลือแก่ประชาชนนานัปการ

 

Sponsored Ad

 

    สำหรับ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี นั้น นอกจากความช่วยเหลือสำคัญอย่างการพระราชทานเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 100 เครื่อง แก่โรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเสริมกำลังให้กับบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งน้ำพระราชหฤทัยที่ดูเหมือนจะไม่ยิ่งใหญ่อะไรนัก อย่าง ‘ถุงยังชีพพระราชทาน’ แต่เรื่องราวของคุณ Varisorn Ditsaranont ซึ่งเล่าไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว กลับทำให้เรารู้ซึ้งว่า ของสิ่งนี้มีค่ามหาศาลสำหรับใครหลายๆ คนในยามวิกฤตเช่นนี้จริงๆ

 

Sponsored Ad

 

    ทั้งนี้เพราะประสบการณ์การได้รับถุงยังชีพพระราชทานที่คุณ Varisorn Ditsaranont บอกเล่าเอาไว้นั้น ทำให้เรารู้ว่าภายในถุงยังชีพพระราชทานเต็มไปด้วยข้าวของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภค เช่น ข้าวสาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุง ยาสามัญประจำบ้าน สบู่ แชมพู ผงซักฟอก หน้ากากผ้า ฯลฯ 

    อีกทั้งข้าวของจิปาถะอย่างทิชชู่และถุงขยะ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของผู้ให้ ซึ่งนั่นทำให้ถุงยังชีพพระราชทานมีความหนักมาก เมื่อลองชั่งดูก็พบว่ามีน้ำหนักเกือบ 20 กิโลกรัมเลยทีเดียว

 

Sponsored Ad

 

.

    ด้วยความที่ถุงยังชีพพระราชทานมีน้ำหนักมากถึงเพียงนี้ จึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงน้ำใจของผู้ที่ทำหน้าที่แจกจ่ายอีกด้วย โดยคุณ Varisorn Ditsaranont เล่าว่า รู้สึกเห็นใจทหารที่แบกถุงยังชีพพระราชทานหนักๆ ไปมอบตามบ้านเรือนต่างๆ แค่ละแวกนั้นก็ประมาณ 500 หลังคาเรือนแล้ว 

 

Sponsored Ad

 

    อีกทั้งยังต้องเร่งรีบปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นก่อนถึงเวลาเคอร์ฟิวจนเหงื่อชุ่มกาย เพราะเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติภารกิจนี้ในช่วงกลางคืน เพื่อไม่ให้เอิกเกริกจนกระทบชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เขาเข้าใจด้วยว่า ทำไมถึงต้องประกาศให้ประชาชนทราบก่อน เพื่อเตรียมตัวรับถุงยังชีพพระราชทาน

    นอกจากนี้ คุณ Varisorn Ditsaranont ยังเล่าถึงความรู้สึกดีใจและซาบซึ้งที่มีโอกาสได้รับถุงยังชีพพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ซึ่งถือเป็นความปลาบปลื้มใจสูงสุดในชีวิต อีกทั้งยังน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งประชาชนในยามวิกฤต และไม่ทรงแบ่งแยกว่าใครมีมากหรือน้อยอย่างไร พระองค์พระราชทานความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงเท่ากันหมด

 

Sponsored Ad

 

    โดยคุณ Varisorn Ditsaranont เล่าปิดท้ายว่า ด้วยความที่เขาไม่เดือดร้อนมากนัก จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตส่งต่อสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นเหล่านี้ให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน ส่วนถุงนั้นขอเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพื่อเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดีต่อไป  

 

Sponsored Ad

 

    สำหรับการแจกจ่าย ‘ถุงยังชีพพระราชทาน’ ยังคงดำเนินต่อไป โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จิตอาสาพระราชทาน เชิญถุงยังชีพพระราชทานไปมอบให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดของกรุงเทพมหานคร จำนวน 642 ชุมชน กว่า 170,000 ครัวเรือน รวมถึงจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศด้วย โดยเริ่มการแจกจ่ายตั้งแต่ช่วงค่ำของเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2563 และภายในเดือนนี้จะทยอยเชิญถุงยังชีพพระราชทานไปมอบให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนครบทุกหลังคาเรือน

.

.

.

.

.

ที่มา : พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์, มูลนิธิราชประชานุเคราะห์  ในพระบรมราชูปถัมภ์

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ