LIEKR:
สื่อระดับโลก นิวยอร์กไทม์ส ยกให้ “นางสาวลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ” ขึ้นเป็นตัวเต็งในการนั่งตำแหน่ง รองประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ หากว่า “นายโจ ไบเดน” ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) รายงานถึงแหล่งข่าวภายในพรรคเดโมแครตว่า ทีมหาเสียงของ โจ ไบเดน ประทับใจในการสัมภาษณ์เบื้องต้นของ พันโทหญิง แทมมี่ ลัดดา ดักเวิร์ธ และยกให้เธอเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีโอกาสจะเข้ามาเป็นตัวแทนพรรคในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ
Sponsored Ad
แทมมี่ ดักเวิร์ธ เกิดที่กรุงเทพมหานคร คุณแม่เป็นคนไทย และคุณพ่อเป็นทหารชาวสหรัฐ ฯ เธอใช้ชีวิตวัยเด็กในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ก่อนที่คุณพ่อของเธอจะตกงานและย้ายครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานที่รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนเธออายุได้ 16 ปี
ช่วงแรกของการกลับแผ่นดินเกิดของคุณพ่อ แทมมี่ ดักเวิร์ธ ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เนื่องจากทางบ้านประสบปัญหาทางการเงิน จนเธอต้องไปขายดอกไม้อยู่ริมถนนในตัวเมืองฮอนโนลูลู แต่เธอก็สามารถเรียนจนเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฮาวายได้สำเร็จ
Sponsored Ad
หลังจากนั้น เธอได้ย้ายไปยังวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐฯ เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และระหว่างที่เรียนอยู่ สมัครเข้าร่วมในศูนย์ฝึกกองกำลังสำรองเพื่อที่จะได้นำมายื่นเป็นหน่วยกิต แม้จะไม่ได้อยากเป็นทหารในตอนแรก เพราะความฝันของเธอคือ การเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตสหรัฐฯ ที่ได้ไปประจำการตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่พอผ่านการฝึกมาได้ เธอตกหลุมรักการเป็นทหาร จนตัดสินใจเลือกรับใช้ชาติในตำแหน่งนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพ แต่ก็ยังไม่ทิ้งความฝันที่จะเป็นทูตแต่อย่างใด
Sponsored Ad
ช่วงสงครามอิรัก ปี 2004 แทมมี่ ดักเวิร์ธ เป็นหนึ่งในทหารที่อาสาไปประจำการที่ตะวันออกกลาง ได้เสียขาทั้งสองข้างในระหว่างปฏิบัติภารกิจ จากการที่เฮลิคอปเตอร์ที่เธอโดยสารตก แม้ว่าเพื่อนทหารของเธอจะสามารถบังคับเครื่องลงจอดได้ แต่บริเวณที่เธอนั่งอยู่นั้น ก็ไม่ปลอดภัย จนเป็นเหตุให้ต้องเป็นแบบนี้ตลอดชีวิต
Sponsored Ad
สุดท้ายเธอเอาชีวิตรอดกลับมาได้ด้วยความช่วยเหลือของทหารที่เดินทางไปในเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกัน นอกจากนี้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอหมดสิทธิ์ขับเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นงานหลักของเธอแล้ว ยังทำให้เธอหมดความตั้งใจที่จะเป็นนักการทูตตามที่ฝันไว้ด้วย
แม้จะสูญเสียความสามารถในการเดิน แต่เธอก็ได้กลายมาเป็นแกนนำในการเรียกร้องสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ให้กับทหารผ่านศึก จนทางพรรคเดโมแครต ได้เข้ามาทาบทามให้เธอลงสมัครในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐอิลลินอยส์ ภายหลังเธอได้ตอบรับคำชวนและเข้ามาเป็นนักการเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Sponsored Ad
ในการลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกเมื่อปี 2006 แทมมี่ ดักเวิร์ธ แพ้คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันไปอย่างเฉียดฉิว และแม้จะไม่ได้เป็นส.ส.อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่เธอก็ถูกแต่งตั้งให้ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการ กระทรวงทหารผ่านศึกของรัฐอิลลินอยส์ ก่อนจะถูกเลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารผ่านศึกสหรัฐฯ ในปี 2009
Sponsored Ad
ปี 2012 แทมมี่ ดักเวิร์ธ ได้กลับมาท้าชิงตำแหน่ง ส.ส.ของรัฐอิลลินอยส์อีกครั้ง โดยเปลี่ยนจากเขต 6 ที่ลงสมัครคราวที่แล้วมาเป็นเขต 8 และเธอก็สามารถเอาชนะคู่แข่งไปได้อย่างขาดลอย กลายเป็นส.ส.หญิงคนแรกที่เป็นผู้พิการ และเป็นสมาชิกสภาคองเกรสคนแรกที่เกิดในประเทศไทยอีกด้วย
อีก 4 ปีถัดมาเธอได้ลงสมัครเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ในเก้าอี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของ ปธน. บารัค โอบามา โดยครั้งนี้เธอเอาชนะ ส.ว. มาร์ก เคิร์ก จากรีพับลิกันเจ้าของเก้าอี้เดิม และได้ขยับไปทำหน้าที่ในสภาสูงของสภาคองเกรสจนถึงปัจจุบัน
Sponsored Ad
สำหรับการทำงานในฐานะ ส.ว.นั้น แทมมี่ ดักเวิร์ธ เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมากในการทำงานเกี่ยวกับทหารผ่านศึก รวมถึงด้านอื่น ๆ ของกองทัพ เรื่องราวที่เธอประสบมาช่วงทำงานก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนต่างเปิดใจกับเธอ และตัวเธอเองก็ไม่เคยลืมเรื่องดังกล่าวเช่นกัน
เธอกล่าวว่า ไม่มีวันใดเลยที่เธอตื่นมาแล้วไม่ได้นึกถึงช่วงเวลาที่ แดน มิลเบิร์ก ช่วยพาเธอออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ตอนนั้น เธอคิดอยู่เสมอว่าเธอจะไม่ยอมให้แดนรู้สึกเสียใจที่เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้
แดน มิลเบิร์ก คือนายทหารเกษียณอายุราชการ ที่เข้าร่วมเหตุการณ์ที่อิรักเมื่อปี 2004 และเป็นผู้นำเฮลิคอปเตอร์ที่ลงจอดก่อนจะพาร่างของ แทมมี่ ดักเวิร์ธ ที่ไม่สมบูรณ์ให้มีชีวิตรอด
ในฐานะประชาชนอเมริกัน ตัวเขาเคยลงคะแนนให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 และก็ยืนยันว่าเขาไม่คิดจะลงคะแนนให้ปธน.คนเดิมอีกต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้น แดน มิลเบิร์ก เองก็ยังไม่มั่นใจว่า เขาจะสลับขั้วมาลงคะแนนให้ โจ ไบเดน หรือไม่ เพราะเขาต้องการทราบเสียก่อน ว่าผู้ที่จะมาเป็นตัวเลือกในฐานะรองปธน.คือใคร เพราะเขาคงรู้สึกไม่สบายใจหากคน ๆ นั้นมีแนวคิดหัวก้าวหน้าเกินไป
และหนึ่งในผู้สมัครที่จะทำให้เขารู้สึกไว้วางใจ และพร้อมที่จะเปลี่ยนใจมาลงคะแนนให้พรรคเดโมแครตได้ คือ แทมมี่ ดักเวิร์ธ เขาเชื่อว่าอดีตทหารหญิงที่เขาเคยช่วยชีวิตเอาไว้นั้น มีแนวคิดอยู่ตรงกลางเพียงพอที่จะทำให้คนที่เคยเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเปลี่ยนใจมาเลือกอีกฝั่งได้
แม้ว่า แทมมี่ ดักเวิร์ธ จะไม่ใช่ชื่อที่ถูกนำมาพูดถึงบ่อยนัก ในการพูดคุยกันของเหล่าที่ปรึกษาในวอชิงตัน เนื่องจากเธอไม่ใช่ ส.ว.ที่พยายามไต่ขึ้นไปยังตำแหน่งสูง ๆ เพื่อจะมีผลงานเป็นที่เตะตาจนถูกทาบทาม เธอไม่ได้มาจากรัฐที่คะแนนสูสีกับฝั่งรีพับลิกัน ซึ่งการเลือกผู้สมัครรองปธน.หลายคนมักจะถูกพิจารณาจากคุณสมบัติดังกล่าว เธอไม่ใช่คนเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งเหล่าผู้บริหารพรรคเดโมแครตมองว่า โจ ไบเดน ควรจะเลือกผู้หญิงผิวดำ เพื่อดึงคะแนนจากเหล่าผู้ที่สนับสนุนความเท่าเทียมกันด้านสีผิว ซึ่งกำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ตอนนี้มากกว่า
แต่ถ้าเลือกจากคุณสมบัติที่เข้ากันได้กับตัวผู้สมัครประธานาธิบดีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า แทมมี่ ดักเวิร์ธ คือ คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากคนหนึ่ง
ในเรื่องนี้ โจเอล เบเนนสัน หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ ทีมหาเสียงของปธน. บารัค โอบามา และ ฮิลลารี คลินตัน มองว่า ส.ว.ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 52 ปี คือคนที่มีมุมมองทางการเมืองคล้ายกับ โจ ไบเดน คือ อยู่ตรงกลางค่อนไปทางซ้าย และก็มีประสบการณ์ทั้งการเป็นส.ส. และ ส.ว. มาแล้ว ยังไม่รวมถึงการเป็นทหารผ่านศึกที่จะช่วยดึงคะแนนจากคนในกองทัพได้อีก
ทางด้านของ แทมมี่ ดักเวิร์ธ เองก็เชื่อมั่นว่า เธอสามารถตอบโต้ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ในแบบที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ แม้แต่หนึ่งในหัวข้อที่ทรัมป์นำมาใช้โจมตีฝั่งตรงข้าม ว่าเป็นผู้ที่ไม่รักชาติ ไม่เคารพต่อธงชาติและเพลงชาติสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งประณามคนที่นำสัญลักษณ์ของชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับการประท้วงอยู่บ่อยครั้ง
เกี่ยวกับประเด็นนี้ เธอสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า หากวันใดวันหนึ่งที่ตัวเธอ คุณพ่อของเธอ น้องชายของเธอ หรือสามีของเธอ ต้องจากไป งานของเธอและพวกเขาเหล่านั้น จะมีธงชาติอเมริกาคลุมอยู่ จากการที่ทั้งหมดที่กล่าวมาต่างรับใช้ชาติในฐานะทหารกันทุกคน ดังนั้น ไม่มีใครที่จะให้ความเคารพธงชาติมากกว่าเธออีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ให้ความเคารพสิทธิ์ในการประท้วงเช่นกัน ....
ครั้งหนึ่ง นางสาวแทมมี่ ดักเวิร์ธ ส.ว.สหรัฐ จากรัฐอิลลินอยส์ พูดคุยอย่างสนุกสนานกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2562 ในโอกาสเดินทางมาเยือนไทย
ที่มา : เจาะเวลาหาอดีต, The New York Times, Fox News