เปิดชีวิต "เจ้าสัวธนินท์" ทำยังไงถึง "รวยสุดในไทย" จนใครก็ไม่อาจล้มแชมป์ สำเร็จได้เพราะอะไรมาดูกัน

LIEKR:

วิธีคิดแบบมหาเศรษฐี...

        “เก่งแล้วไม่ขยัน จะไม่มีวันเก่งจริง” 

        ประโยคนี้กลายเป็นสูตรสำเร็จที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะมันได้ออกมาจากปากคนที่เขาทำให้เห็นเป็นตัวอย่างกระทั่งกลายเป็นตระกูลที่รวยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ใครก็ไม่อาจล้มแชมป์ได้

        หลายคนคงอยากรู้ว่า ต้องรวยขนาดไหนและมีธุรกิจอะไรบ้าง ทางนิตยสารชื่อดังระดับโลกอย่าง “ฟอร์บส์” ที่ได้จัดชั้นให้ “เจ้าสัวธนินท์” และ “ตระกูลเจียรวนนท์” ครองแชมป์มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าทรัพย์สินหลายแสนล้านบาท 

 

Sponsored Ad

 

        หลายคนคงอยากรู้ว่าเจ้าสัวและ "ตระกูลเจียรวนนท์" ทำอะไรถึงรวยล้นฟ้ามหาศาล แต่ก่อนจะไปดูธุรกิจความสำเร็จของเค้า ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ขอย้อนที่มากว่าจะมีวันนี้ "ไม่ใช่ง่ายๆ" มีทุกอย่างขึ้นมาได้เพราะความพยายาม ที่แลกมาด้วยทุกหยาดเหงื่อมันสมองของตัวเองบุกเบิกธุรกิจจนสร้างชื่อเสียงดังไประดับโลก โดยเฉพาะนับจากปี 2553 ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกที่ ตระกูล "เจียรวนนท์" ล้มแชมป์เศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศอย่าง"ตระกูลอยู่วิทยา" เจ้าของธุรกิจแบรนด์เครื่องดื่ม “กระทิงแดง” ที่มีวางขายทั่วโลก 

 

Sponsored Ad

 

"ชาวจีนแต้จิ๋วอพยพ"

        "ธนินท์ เจียรวนนท์" เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2482 มีครอบครัวอยู่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร มีพ่อเป็นชาวจีนแต้จิ๋วอพยพ "นายธนินท์" เป็นบุตรคนสุดท้อง ในตระกูลที่ทำมาค้าขายเกี่ยวกับอาหารสัตว์ พ่อของเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านการเกษตร ทั้งด้านการขายและผสมอาหารสัตว์ ต่อมา"ธนินท์" ได้เข้าเรียนประถมที่โรงเรียนสารสิทธิ์วิทยา จังหวัดราชบุรี ก่อนตัดสินใจไปเรียนต่อที่ซัวเถาประเทศจีนเพื่อให้ได้ฝึกภาษาจีน และเมื่ออายุได้ 16 ปีก็ได้เลือกเรียนต่อในฮ่องกงเพื่อต้องการรู้จักเรื่องการค้าได้มากขึ้น นำมาช่วยเหลือครอบครัวที่มีกิจการที่เริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ 

 

Sponsored Ad

 

ร้านค้าของพ่อ

        ในวันเด็ก ด้วยความที่เข้าไปศึกษาอยู่ในฮ่องกง จึงมองเห็นอนาคตความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แบบในโลกอนาคต ซึ่งให้หลังหลายสิบปีต่อมา "เกาะฮ่องกง" มีความเจริญก้าวหน้าเหมือนที่เขาคาดการณ์ไว้ ต่อมาเมื่อเขาได้อายุได้ 22 ปี ก็ได้รับการชักชวนไปทำงานที่บริษัท "สหสามัคคีค้าสัตว์" ซึ่งเป็นกิจการเกี่ยวกับการรับซื้อสัตว์ ฆ่า และชำแหละเนื้อสัตว์ ในฐานะลูกจ้าง ภายหลังจากทำงานนี้ เขาได้เรียนรู้ถึงการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับภาครัฐ การคลุกคลีกับนักวิชาการ รวมถึงกิจการหาเทคโนโลยีใหม่ๆ จากต่างประเทศ และ 3 ปีต่อมาเขาก็ได้ลาออกจากบริษัทเนื่องจากจะไปช่วยกิจการที่บ้าน

 

Sponsored Ad

 

เริ่มธุรกิจครอบครัว - พัฒนายกระดับ  

        ภายหลังกลับมาทำงานในบริษัทของครอบครัวเขา นั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหารทั่วไปและการตลาด ซึ่งช่วงนั้นราคาอาหารสัตว์ได้ตกต่ำลงเนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและมีการตัดราคารวมถึงการปลอมปนอาหารสัตว์ ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพของอาหารสัตว์ได้ ดังนั้นถ้าจัดการในด้านนี้ได้ ก็จะสามารถได้ส่วนแบ่งกลับคืนมาพอสมควร เหตุนี้เองจึงต้องเพิ่มหรือควบคุมคุณภาพของอาหารสัตว์ให้ได้ จากนั้นจึงเริ่มผสมและขายอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่ถูกบรรจุในซองแทนการขายวัตถุดิบอาหารสัตว์เพียงอย่างเดียว ซึ่งได้รับการยอมรับถึงคุณภาพที่นำไปเลี้ยงสัตว์แล้วได้สัตว์คุณภาพดีออกมา

 

Sponsored Ad

 

        เมื่อธุรกิจเติบโต จึงได้ซื้อเครื่องจักรใหม่ที่มีคุณภาพ ทำการเปลี่ยนนโยบายการขายจากรับ (ตั้งร้านขายอยู่กับที่) เป็นนโยบายเชิงรุก (นำเสนอสินค้าขายโดยตรงตามบ้าน) รวมไปถึงการทำงานที่อดทน มานะบากบั่นในการขายสินค้าไปยังต่างประเทศด้วย โดยใช้เส้นทางการจำหน่ายโดยที่พี่ชายและพ่อสร้างไว้ให้ ซึ่งจุดเน้นของเขาคือ การทำให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพของสินค้า นอกจากที่เขาจะมีนโยบายเชิงรุกที่ชัดเจนแล้ว เขายังจะพยายามสร้าง Demand ขึ้นโดยการจัดการประกวดไก่เลี้ยง ซึ่งจะได้รางวัลต้องเป็นตัวใหญ่ (ที่เลี้ยงด้วยอาหารของ C.P.) นอกจากทำให้ชาวบ้านเห็นว่าอาหารไก่ของ C.P.ดีแล้ว ยังเป็นที่ต้องการของคนเลี้ยงเลี้ยงไก่เพื่อล่ารางวัลอีกด้วย

 

Sponsored Ad

 

ขยายตัวในเอเชีย - ทั่วโลก 

        จากความต้องการอาหารสัตว์ที่มากขึ้นทั้งในเอเชียและทั่วโลก ทำให้ C.P. ต้องทำการขยายไปต่างประเทศ และอินโดนีเชียคือประเทศแรกที่ได้ไปลงทุน เนื่องจากวัตถุดิบที่หาง่ายราคาถูก อีกทั้งมีกำลังซื้อจากประชากรที่มาก ต่อจากนั้นก็ได้ขยายโรงงานในประเทศอีกทั้งๆ ที่มีปัญหาการเมืองขึ้นในประเทศไทย แต่กลับกลายเป็นโอกาสให้ C.P. ได้กลายเป็นเจ้าเดียวที่ขายอาหารสัตว์ในประเทศโดยเป็นไปตามหลัก “รุกเมื่อผู้อื่นถอย ย่อมเป็นผลดีกว่าถอยเมื่อผู้อื่นรุก” และสามารถส่งออกได้ในปีต่อมา หลังจากนั้นเขาก็ได้สยายปีกโดยการออกไปตั้งโรงงานอาหารสัตว์อีกทั่วโลก ทั้งในไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง เบลเยียม โปรตุเกส ตุรกี เป็นต้น

Sponsored Ad

        เนื่องจากธุรกิจที่มีมาก ดังนั้นเขาจึงตั้งบริษัท Holding Company ซึ่งเป็นบริษัทแม่เรียกชื่อว่า บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เพื่อเป็นศูนย์กลางของการบริหาร ในปี 2521 ซึ่งในขณะนั้นมีตัวแทนจำหน่ายมากว่า 100 แห่งใน 13 ประเทศทั่วโลก และในปี 2531 ได้ร่วมมือกับบริษัท เอสเอชวี โอลดิ้ง ตั้งศูนย์การค้าส่งขึ้นเรียกว่า แม็คโคร หลังจากนั้นได้ซื้อลิขสิทธิ์ 7-11 ซึ่งเป็นแฟรนด์ไชน์ จากอเมริกา พร้อมยังจัดตั้ง Discount Stroe เพิ่มอีกด้วย การที่ได้ร่วมทุนรวมทั้งซื้อแฟรนด์ไชน์ในครั้งนี้เพื่อเป็นการปูพื้นฐานในการหาช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าไปทั่วโลกอีกด้วย

        ต่อมาในปี 2533 ได้ทำ Project ใหญ่โดยร่วมกับ ไนแนกซ์ แห่งอเมริกาจัดตั้งบริษัท เทเลคอมเอเชีย คอร์ปอเรชั่น โดยรับผิดชอบโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย และในปี 2536 ได้ร่วมกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและบริษัทปิโตรเคมีจีน ในการตั้งสถานีน้ำมัน PA (ปิโตรเอเชีย) อีกด้วย แม้ว่าจะมีธุรกิจทั้วโลกแต่ธนินท์ได้ลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด คือประมาณ 70% เนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นรากฐานของ CP ฯลฯ นี่เป็นเพียงประวัติการดำเนินธุรกิจแบบคร่าวๆ  กว่าจะเติบโตกลายเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ รวยเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย 

ถ่ายกับเจ้านายบริษัทที่เคยร่วมงานด้วย

สื่อยักษ์ใหญ่ในจีนยกย่องเจ้าสัว ตีพิมพ์ประวัติ 4 หน้ากระดาษ 

        หนังสือพิมพ์ "Xinmin Evening News” หรือ ที่ชาวจีนรู้จักในชื่อ “Xinmin Po” ซึ่งเป็นสื่อจีนที่มีอายุยาวนาน ได้ตีพิมพ์ข่าวจำนวน 4 หน้าเต็ม แนะนำชาวไทยเชื้อสายจีน “ท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์” ในฐานะที่เป็นประธาน บริษัท เจียไต๋อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยระบุว่าท่านประธานอาวุโสธนินท์เกิดเมื่อปี พ.ศ.2482 มีเชื้อสายชาวเมืองเฉินไห่ มณฑลกวางตุ้ง และในปี 2531 นิตยสารเศรษฐกิจชื่อดังของเอเชีย "Asian Finance" ได้กล่าวว่าท่านประธานอาวุโสเป็น "ผู้ประกอบการที่โดดเด่นที่สุดในเอเชีย"

        ต่อมาในวันที่ 25 สิงหาคม 2558 สำนักงานของสภาแห่งรัฐจีนโพ้นทะเลแถลงข่าวว่า รัฐบาลใช้เวลามากกว่า 4 เดือนในการพยายามเชิญชวนชาวจีนโพ้นทะเลจำนวน 1,779 คนกลับไปเป็นเกียรติในการประกอบพิธีกลับสู่มาตุภูมิ ซึ่งปรากฏว่าท่านประธานอาวุโสธนินท์ คือ 1 ใน 5 ของแขกผู้ทรงเกียรติที่สุด และยังเป็นหนึ่งในตัวแทนของชาวจีนโพ้นทะเลที่ได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานพิธีที่เทียนอันเหมิน และนอกจากนี้ ท่านประธานอาวุโสธนินท์ เคยได้รับเลือกให้เป็น "นักธุรกิจชาวจีนที่มีอิทธิพลสูงสุดสิบอันดับแรกของโลก"

        "Xinmin Evening News” บอกด้วยว่า จากวลีติดปากของผู้ดำเนินรายการ เจิ้งต้า วาไรตี้ ที่กล่าวว่า “ไม่ดู ไม่รู้ ว่าโลกนี้มหัศจรรย์แค่ไหน” รายการนี้ไปออกอากาศไปพร้อมกับการเจริญเติบโตของยุคของคนจีน มีความทรงจำที่คลาสสิกมากมายเกิดขึ้นจากการรับชมรายการนี้ เหมือนคำขวัญเพลงขึ้นต้นรายการที่ว่า “ความรักคือการอุทิศ เสียสละ” เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกภาคของจีน

        เจียไต๋ กรุ๊ป จากประเทศไทย หรือ ซีพี ติดอันดับ 500 บริษัทแรกของโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทข้ามชาติในจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 350,000 คนและมีรายได้ปีละกว่า 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เจียไต๋กรุ๊ปเป็นผลงานสำคัญให้เห็นถึงการปฏิรูปของมหานครเซี่ยงไฮ้ โดยเจียไต๋กรุ๊ป หรือ ซีพี เป็นบริษัทข้ามชาติ แห่งแรกที่ลงทุนในเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2522

        เป็นเวลา 40 ปี ที่ซีพีได้เติบโตคู่มากับการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ของมหานครเซี่ยงไฮ้ เจียไต๋ ค่อยๆ พัฒนาจากอุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมรอง จนเข้าสู่อุตสาหกรรมเพื่อ “ประโยชน์ต่อประเทศ ต่อประชาชน และต่อธุรกิจ” (ค่านิยม 3 ประโยชน์) ซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณเจียไต๋ (อ่านที่มาของข่าว) 

‘My Memoirs’ สื่อญี่ปุ่น เผยแพร่เฉพาะคนดังระดับโลก

        คอลัมน์ ‘My Memoirs’ เป็นคอลัมน์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวบันทึกความทรงจำของบุคคลชั้นนำระดับโลก เพื่อให้ชาวญี่ปุ่นได้เรียนรู้เรื่องราวชีวิต และแรงบันดาลใจที่ทำให้บุคคลสำคัญประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ซึ่งล่าสุดได้นำเสนอบันทึกความทรงจำของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นนักธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก และอยู่ในความสนใจของชาวญี่ปุ่น โดยเป็นคนไทยคนแรกในคอลัมน์ My Memoirs ซึ่งก่อนหน้านี้มีบุคคลระดับโลก อาทิ จอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นางมากาเร็ท แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษ ลี กวน ยู อดีตประธานาธิบดีสิงคโปร์ รวมถึงนักธุรกิจชั้นนำของญี่ปุ่น อาทิ ซีอีโอของโซนี่ พานาโซนิค และฮอนด้า เป็นต้น

    ทั้งนี้สำนักข่าวนิกเคอิได้กล่าวว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ถือเป็นบริษัทที่เข้าไปปฏิวัติโต๊ะอาหารของญี่ปุ่นโดยได้ส่งออกไก่สดแช่แข็งไปยังประเทศญี่ปุ่นเป็นรายแรกตั้งแต่พ.ศ.2516 ทำให้คนญี่ปุ่นได้บริโภคไก่ซึ่งเป็นอาหารโปรตีนได้ในราคาถูก นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทย และยังเป็นบริษัทที่ลงทุนในอิโตชูโดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของอิโตชูซึ่งเป็นบริษัทการค้าชั้นนำมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นบริษัทประสบความสำเร็จในการเข้าไปลงทุนในประเทศจีน

รวยเป็นที่ 2 เป็นรองเพียงตระกูลซัมซุงในเอเชีย

        ประเทศไทยจะเกิดวิกฤติการเมือง หรือผ่านพ้นไปกี่รัฐบาล ก็ไม่ได้สะทกสะเทือน ธุรกิจของ "ตระกูลเจียรวนนท์" เนื่องจากฐานการขยายเศรษฐกิจที่มั่นคงแข็งแรงเติบโตแบบก้าวกระโดดสู่ตลาดโลก และจากการสำรวจข้อมูลย้อนหลังกลับไป 10 ปี นับจากปี 2551 จนถึงปี 2561 พบว่า ในปี 2561 ตระกูลเจียรวนนท์ มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นนับ 10 เท่า โดยการถือครองทรัพย์สินรวม 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 9.37 แสนล้านบาท จากปี 2551 ที่ถือครองทรัพย์สินอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6.6 หมื่นล้านบาท หากเปรียบเทียบจัดอันดับในเอเชีย "ตระกูลเจียรวนนท์"ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังได้รับการจัดอันดับให้รวยเป็นที่ 2 เป็นรองเพียง "ตระกูลซัมซุง" ในเอเชีย

        เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ตระกูลเจียรวนนท์ยังสามารถครองความเป็นมหาเศรษฐีที่ 1 ในไทยที่ผ่านมานั้น มาจากแรงหนุนของราคาหุ้นสำคัญหลายๆตัว ที่เครือซีพีถือครอง ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในประเทศไทย และที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดฯ ต่างประเทศ รวมไปถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจของอาณาจักรซีพี

บริษัทหลักเครือเจริญโภคภัณฑ์

        จากข้อมูลผลสำรวจเฉพาะบริษัทหลักๆ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในบริษัทสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือเครือซีพี ประกอบด้วย         

        - บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักของซีพี ในกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร ซึ่งประกอบธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่ผลิตอาหารสัตว์ เพาะพันธุ์สัตว์ เลี้ยงเนื้อสัตว์เพื่อการค้า แปรรูป อาหารสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์ซีพี และอื่นๆ ในปี 2560 มีรายได้ 523,179.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,532 ล้านบาท

        - บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทที่ทำธุรกิจหลักคือธุรกิจร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น จบปี 2560 มีรายได้ 489,403.25 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19,907.71 ล้านบาท
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจหลักห้างแม็คโคร ในปี 2560 มีรายได้รวม 186,754.02 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,178.13 ล้านบาท

        - บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต และบริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก ฯลฯ ปี 2560 มีรายได้รวม 147,602.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,322.53 ล้านบาท

        ขณะที่ในต่างประเทศ กลุ่มบริษัทสำคัญที่ได้รับการจับตาในฐานะบริษัทที่สร้างรายได้หลักให้กับเครือซีพีในปัจจุบัน คือ กลุ่มบริษัท ผิง อัน (PING AN) ที่ซีพีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง ให้บริการทางการเงินทุกชนิด ตั้งแต่ธนาคารไปจนถึงการลงทุน ธุรกิจหลักครึ่งหนึ่งอยู่ในธุรกิจประกันชีวิต รองลงมาอยู่ในธุรกิจประกันภัย ธุรกิจธนาคาร และธุรกิจหลักทรัพย์ โดยเครือซีพีของตระกูลเจียรวนนท์ได้เข้าไปซื้อหุ้น ผิง อัน มาตั้งแต่ปี 2556 จาก HSBC เป็นมูลค่าสูงถึง 2.9 แสนล้านบาท นับเป็นดีลประวัติศาสตร์ในการซื้อหุ้นของจีนที่มากที่สุดโดยบริษัทต่างชาติในเวลานั้น

        ธุรกิจของ ผิง อัน นั้น เติบโตอย่างก้าวกระโดดตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในเวลาหลายปีที่ผ่านมาจบปี 2560 ผิง อัน มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 43% เป็น 4.65 แสนล้านบาท และเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 5.98 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2561) และอาจจะนับได้ว่าเป็นบริษัทที่สร้างผลตอบแทนให้กับเครือซีพีมากกว่าบริษัทหลักซึ่งจดทะเบียนในไทย อย่าง ซีพีเอฟ ซีพี ออลล์ และ ทรู รวมกัน

เคล็ดลับแนวคิดสไตล์ “ธนินท์ เจียรวนนท์”

        1. สิ่งสำคัญที่คุณธนินท์ มักจะตอกย้ำกับผู้บริหารและพนักงานอยู่เสมอ นั่นก็คือ “ตลาดทั่วโลก วัตถุดิบทั่วโลก คนเก่งทั่วโลก การเงินทั่วโลกล้วนเป็นของซี.พี.” ซึ่งเป็นความคิดที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงวิสัยทัศน์ที่มีความกว้างไกลซึ่งได้นำพาให้เติบโตเป็นปึกแผ่น และยังถือเป็นบริษัทคนไทยที่ประสบความสำเร็จต่อการลงทุนในต่างประเทศ ได้สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยอีกด้วย

        2. ในการทำธุรกิจผู้คนส่วนใหญ่จะคิดเรื่องกำไรต้องมาก่อน แต่คุณธนินท์จะมองในเรื่องของการทำงานเป็นหลักไม่ได้คิดเรื่องผลกำไรในแง่ที่ว่าทำธุรกิจนี้แล้วจะต้องได้กำไรเท่าไร ท่านเจ้าสัวคิดแต่เพียงว่าทำธุรกิจนี้แล้วลำดับแรกจะมีโอกาสสำเร็จหรือไม่ พูดง่าย ๆ ว่าอย่าโฟกัสไปที่เงินให้โฟกัสไปที่ความสำเร็จนั่นเอง

        3. หากจะทำธุรกิจประเภทธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจนั้นจะต้องไปเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากด้วย ไม่ใช่ไปเกี่ยวข้องกับคนจำนวนน้อย ซึ่งจะถือว่าธุรกิจนั้นเล็ก ถ้าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประเทศก็ยังถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ใหญ่ ถ้าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่จะต้องเกี่ยวข้องกับทั่วโลก สินค้าต้องขายได้ทั่วโลกมันถึงจะมีโอกาสใหญ่ และเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนได้ทั่วโลกธุรกิจนี้ถึงจะมีโอกาสใหญ่นั่นเอง

        4. คำถามสำคัญที่คิดถึงผู้อื่นก่อน นั้นจะช่วยให้ก่อเกิดความยิ่งใหญ่ในธุรกิจนั่นก็คือ สิ่งที่คุณทำนั้นเป็นประโยชน์แก่ประชาชนไหม? ถ้าคำตอบคือ ไม่ ธุรกิจที่คุณทำก็ไม่มีความยิ่งใหญ่

        5. ในฐานะผู้นำทางธุรกิจท่านเจ้าสัวมีแนวคิดว่า“ทำอะไรอย่าไปคิดในทางสำเร็จอย่างเดียว ต้องคิดว่ามีปัญหาอะไรที่จะตามมาอีก มีหวานก็ต้องมีขม หรือได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง หลักคิดง่าย ๆ เลย ถ้างานยิ่งใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งมีมาก” ซึ่งเป็นความจริงที่นักธุรกิจควรตระหนัก

        6. เมื่อได้รับความสำเร็จ ผมอาจจะดีใจแค่วันเดียว เพราะยิ่งรับงานใหญ่ ภาระของเราก็ยิ่งมากขึ้น ด้วยความคิดเช่นนี้ จึงทำให้ธุรกิจของสามารถปรับตัวได้เร็ว และพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงทำให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

        7. เน้นสร้าง “คน” เพื่อรองรับการเติบโตซึ่งถือเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง การให้ความสำคัญกับการสร้างคน และมีนโยบายให้ผู้นำกลุ่มธุรกิจต่างๆ ต่างก็เร่งดำเนินการสร้างและพัฒนาคนเก่งเพื่อรองรับการเติบโตบนเวทีการค้าโลก ซึ่งหากไม่มีคนเก่ง ก็ไม่สามารถชนะในตลาดโลกได้

        8. การที่จะก้าวสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูงจะต้องรู้จักใช้กลยุทธ์ในการสร้างคน ซึ่งหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญก็คือต้องโปรโมตผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะต้องสร้างคนที่เก่งกว่าตัวเองขึ้นมา ในการสร้างคนนั้นอย่าไปแบ่งว่าใครเป็นคนของใคร เพราะผู้บริหารที่ดีนั้นจะต้องสร้างตัวแทนขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงที่จะต้องรู้จักแสวงหาคนเก่งมาทดแทน และจะต้องเปิดโอกาสให้คนเก่งได้แสดงความสามารถ

        9. เพราะชอบคนเก่งและอดที่จะเคารพนับถือคนเก่งไม่ได้ ทำให้เขายกย่องและนับถือคนที่สามารถสร้างตัวแทนขึ้น มาได้ ซึ่งผู้บริหารทุกคนจะต้องสร้างตัวแทน คนที่สามารถใช้คนเก่งได้อย่างมีทักษะ คือคนที่เก่งยิ่งกว่า ถ้าคุณสามารถสร้างคนเก่งได้ คุณคือคนที่เก่งที่สุด

        10. เคล็ดลับ 3 ประการในการสร้างคนเก่ง

        - อำนาจ เพราะคนเก่งจะต้องมีเวทีและมีอำนาจสำหรับใช้ในการแสดงความสามารถ

        - มีเกียรติ เพราะนอกจากการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แล้ว คนเก่งเองก็ต้อง การได้รับการยอมรับ

        - เงิน ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่จูงใจ จะเห็นได้ว่า “เงิน” ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญประการแรกในการสร้างคนตามสไตล์ความคิด เพราะสำหรับคนเก่งนั้นเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดแต่ อำนาจ และเกียรติต้องมาก่อน ทำให้ มีบริษัทในเครือฯ มากถึง 200 กว่าแห่งทั่วโลก เพื่อเป็นเวทีสำหรับคนเก่ง

        11. ต้องมองคนอื่นว่าเก่งกว่าเสมอและต้องไม่มองใครว่าเก่งสู้ตัวเองไม่ได้ รู้จักเปิดโอกาสและให้โอกาสพวกเขาได้แสดงความสามารถ เมื่อใครแสดงความสามารถออกมาก็จะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้เขามีตำแหน่งสูง ๆ ขึ้นไปอีกและจะต้องพยายามรักษาเขาให้อยู่กับบริษัทนานที่สุด อีกทั้งยังต้องสร้างคนที่มีความสามารถให้เกิดเพิ่มขึ้น

        12. ในโลกแห่งการแข่งขันทางการค้าและการทำธุรกิจจะต้อง “รักษาคู่แข่งและไม่เอาเปรียบลูกค้าดูแลสังคม” ซึ่งนักธุรกิจที่แท้จริง จะพยายามแข่งขันกันอยู่ในขอบเขต จะไม่แข่งกันจนพังไปข้างหนึ่ง หากมีความสามารถก็ไปหาธุรกิจที่อื่นไม่ต้องมาเจาะจงมาแย่งข้าวชามเดียวกันสุดท้ายสองคนสามคนก็ไม่อิ่มสักคน แล้วก็จะไม่มีประสิทธิภาพ

        โดยวิธีการ คือ การถอนแล้วก็ไปหาตลาดใหม่ ที่ผ่านมาไม่เคยทำให้คู่แข่งล้มละลาย มีนโยบายรักษาคู่แข่ง ไม่ทำลายคู่แข่ง และยังต้องแบ่งตลาดให้ เพื่อให้คู่แข่งสามารถอยู่รอดในตลาดได้ เพราะถ้าเราทำลายคู่แข่งไป ก็อาจมีคู่แข่งใหม่เข้ามาอีกซึ่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าก็เป็นได้

        13. ให้มองถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก รวมไปถึงคู่ค้าและซัพพลายเออร์ด้วยจะต้องให้พวกเขาอยู่ได้ ต้องไม่เอาเปรียบลูกค้าและต้องดูแลสังคม เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้และให้ขายคุณภาพบวกความซื่อสัตย์ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ

        14. ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจนั้น คิดว่าการทุ่มเทในการทำงานนั้นก็เพื่อสร้างธุรกิจให้เจริญก้าวหน้า การได้สร้างงานและสร้างอาชีพให้แก่คนมากมาย สร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ การเสียภาษีให้กับรัฐบาล มีความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างคนเก่งและที่สำคัญสร้างคนไทยให้ไปแข่งขันทางธุรกิจกับทั่วโลกเพื่อเป็นการพัฒนาคนให้ได้เหรียญทองทางธุรกิจ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ

        15. เพื่อความมั่นคงในกิจการที่ตั้งขึ้นมานั้น มีการจ้างผู้บริหารที่มีความสามารถที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมาทำงานแบบกระจายศูนย์ เนื่องจากบริษัทต้องดำเนินได้ดีและต้องมีการบริหารที่ดีจะต้องรักและให้เกียรติผู้มาร่วมงานเสมือนครอบครัว ซึ่งแม้ว่าคนที่เก่งคนนั้นจะไม่ใช่ญาติแต่ถ้าหากมีความสามารถเข้าใจถึงวัฒนธรรมองค์กรก็มีสิทธิเป็นใหญ่ได้เสมอตามระบบอาวุโส

        การเป็นนักบริหารหรือเจ้าของธุรกิจที่ดีนั้น นอกจากจะมีความอดทน ซื่อสัตย์ และความกล้าแล้ว ยังต้องใฝ่หาความรู้และเทคโนโลยีที่ดีกว่าเสมอๆ ต้องรู้จักคนและเลือกใช้คนด้วย พูดง่ายๆ ว่า “ใช้คนได้เหมาะกับงานและใช้งานได้เหมาะกับคน”

        บิดาของคุณธนินท์ มักบอกเสมอว่า “เราจะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น ทำอะไรต้องทำให้ดี อย่าไปหลอกลวงลูกค้า” โดยเฉพาะเกษตรกรและไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ ให้ยึดถือความสำคัญของคำว่า “คุณภาพ” ต้องมาเป็นอันดับแรกและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และแนวคิดหลักปรัชญาที่นำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจคือ ต้องคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ

ข้อมูลและภาพ จาก thairath

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ