เปิดใจ "เชิญยิ้ม" เล่าช่วงชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด รถไม่มี บ้านจะถูกยึด ยามเฝ้าห้างเห็นยังเมิน

LIEKR:

"การเถียงกับคนโง่คนที่ไม่รู้จักเราจะเหนื่อย เอาความสำเร็จของเราไปตบหน้าพวกเค้าดีกว่า" - โน้ต เชิญยิ้ม

        ชื่อของคุณโน้ต เชิญยิ้ม หรือ บำเรอ ผ่องอินทรกุล นั้น เชื่อว่าหลายคนต่างก็รู้จักเขาในฐานะของตลกมีชื่อเสียง ที่อยู่มาหลายยุคหลายสมัย ทว่าเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ก็คือ ครอบครัวผ่องอินทรกุลนั้น เกือบจะล้ม มีหนี้สิน จนบ้านถูกตัดน้ำตัดไฟ ลูกต้องหยุดเรียนเลยทีเดียว

        แต่โน้ต เชิญยิ้ม ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่ครอบครัวของเขากำลังลำบากสุดๆ สุดท้ายก็มีคนใจดียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้จากที่เป็นตลกที่ไร้เงิน ได้กลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ซึ่ง โน้ต เชิญยิ้ม เปิดใจเล่าถึงชีวิตในช่วงนั้นให้ฟังว่า 

 

Sponsored Ad

 

        กว่าจะมาถึงวันนี้ โน้ต เชิญยิ้ม ผ่านอะไรมามากมายหลายอย่าง?

        “โอ้โห ตลกอย่างพวกผมมันมาจากเหวนะ กว่าจะไต่จากก้นเหวมาปากเหวได้”

 

Sponsored Ad

 

        ทำไมถึงคิดว่าตัวเองมาจากเหว?

        “เกิดมาต้นทุนชีวิตน้อยมาก พ่อแม่ยากจน การศึกษาน้อย เป็นตลกคาเฟ่ เกิดจากโรงลิเกนอนตามโรงลิเก เร่ร่อนบ้านช่องก็ไม่มีอยู่ มาถึงขนาดนี้เราถือว่า ในความรู้สึกของเรามันถือว่าที่สุดแล้ว

        ทุกวันนี้ยังรู้สึกว่าเรามาตรงนี้ได้ไง ทำไมเราเก่งอย่างนี้ แม้คนอื่นอาจจะมองว่าเราไม่เก่ง และที่เป็นอยู่ได้อย่างทุกวันนี้ ลูกเมียกินอิ่มนอนอุ่น ต้องขอบคุณประชาชนคนไทยทั้งประเทศด้วย ที่รักผม เมตตาผม ทำให้ผมมีงาน”

        กว่าจะมีวันนี้ เจอคำดูถูกมาเยอะ?

 

Sponsored Ad

 

        “โอ๊ย เยอะ ทุกวันนี้ก็ยังโดน ยังโดนอยู่ไม่จาง โดนว่าเขียนเพลงไม่เข้าท่า มาเป็นกรรมการตัดสินเพลงได้ยังไงน่าจะให้คนมีความรู้มากกว่านี้มานั่งทำหน้าที่นี้ ในโซเชียลเยอะเลย แต่ผมก็ไม่สนใจนะ ลูกไม่ให้ผมไปอ่านคอมเมนต์เลย

        ถามว่ามีท้อ มีเสียใจมั้ย มีแต่เราต้องเข้มแข็ง ถ้าอยากเอาชนะบางสิ่ง การเถียงกับคนโง่คนที่ไม่รู้จักเราจะเหนื่อย ดังนั้นเราเอาความสำเร็จของเราเป็นคำตอบ เอาชัยชนะของเราในสายตาคนอื่นไปตบหน้าพวกเค้าด้วยความสำเร็จดีกว่า”

        ชีวิตในวงการบันเทิงเจอเรื่องไหนที่ทำให้ท้อหรือรู้สึกไม่ดีบ้าง?

 

Sponsored Ad

 

        “มีครับ คือคนไม่จริงใจ วงการนี้มันยังมีความไม่จริงจังกับเราอยู่นะ พวกปากว่าตาขยิบ คือมันไม่จริงใจกับเรามันยังมีอยู่ มีช่วงที่ผมท้อเบื่อวงการ ผมหนีไปตั้งวงลูกทุ่ง แล้วผมเจ๊งจนหมดเนื้อหมดตัวไม่มีเพื่อนไม่มีฝูงไม่มีใครไม่มีอะไร บ้านถูกตัดน้ำตัดไฟ ลูกเต้าแทนที่จะเรียนจบ ปีนั้นต้องหยุดเรียนไป 1 ปี ต้องดรอป

        แต่เราก็ไม่พึ่งใคร เราอยากเจ็บปวดในความรู้สึกของเราเอง ไม่อยากเจ็บปวดแล้วแสดงความรู้สึกอ่อนแอให้ลูกเมียเห็น และก็กับศัตรูเราได้เห็นว่าเราแย่แล้ว สูตรของผมคือไม่ว่าจะเกิดไรขึ้นเราต้องเก็บอาการ”

 

Sponsored Ad

 

        มันแย่หนักขั้นไหน?

        “แย่มากๆ นะ ไม่มีเหลือเลยครับ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว รู้สึกตอนนั้นผมอายุ 40 กว่าๆ ในยุคนั้นซึ่งไม่มีเงินไม่มีทองไม่มีเพื่อนไม่มีฝูง คนที่เราว่าใช่ตอนสมัยที่เราสมบูรณ์ถึงเวลานั้นมันกลับไม่ใช่ แต่คนที่เรามองว่าไม่ใช่เลย พอถึงเวลาเราแย่มันกลับใช่จริงๆ กับบางคน

        ผมแย่มากๆ อยู่ประมาณ 2 ปี ทรมานนะ จนผมคิดว่าชีวิตลูกเมียจะไปรอดรึเปล่า เคยคิดแต่ผมจะไม่แสดงความอ่อนแอให้คนที่เค้ารอพึ่งให้เห็นว่าเราอ่อนแอ แต่จริงๆ ข้างในเราอ่อนแอ ติ๊ก กลิ่นสี จตุรงค์ โพธาราม ถึงกับบอกว่าดูไม่ออกเลยนะว่าไม่มี จริงๆ จตุรงค์ ถ้าผมเอ่ยปากมันก็ช่วยผม เพราะผมเป็นคนดึงมันมา หลายๆ คนเนี่ยไม่ไปเอ่ยถึงแล้วกัน เด็กพวกนี้ชื่อก็เปลี่ยนให้ เราวางรากฐานให้มันหมดแต่เราแย่ มันมีอยู่วันนึงที่ผมไปยืมเงินจาก เป็ด เชิญยิ้ม เป็ดจ่ายเช็คมาให้ผม

 

Sponsored Ad

 

        ปกติไปธนาคารทุกครั้งที่ไปยื่นเข้าแถว จะมีรองผู้จัดการ ไม่ก็ผู้จัดการเข้ามาทักคุณโน้ตมาทำอะไรครับ มานั่งในห้องผมทำนั่นนี่ให้ แต่เมื่อยามชีวิตมันแย่ มียามคนนึงมาดึงเสื้อให้มาต่อคิว เราก็พยายามมองหน้ายามให้เค้ารู้ว่าเราคือ โน้ต เชิญยิ้ม เค้าก็มองหน้าผมเฉยๆ เราก็เลยรู้ว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้เอง”

        ตอนนั้นใครเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วย?

Sponsored Ad

        “คือคุณนพพร วาทิน มีอยู่วันหนึ่งที่พลิกชีวิตผม เค้าเรียกผมไปพบ คุยกันว่าผมห่างวงการไปเลย เป็นยังไงเล่าสู่กันฟังหน่อย ผมก็บอกว่าตอนนี้แย่มากครับ รถก็ไม่มี บ้านก็จะถูกยึด ถูกตัดน้ำตัดไฟ เป็นหนี้เพราะเลิกเล่นตลกไปทำวงลูกทุ่ง รายการทีวีไม่มีเลยสักช่อง

        น้ามดก็บอกเสียดายฝีมือผมนะ ให้กลับมาในวงการได้มั้ย แกก็ถามว่ามีหนี้เท่าไร ผมบอกไปมีหนี้ประมาณ 2-3 ล้าน เป็นหนี้ที่ส่งแต่ดอก แล้วน้ามดก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ให้เงินสดไปเคลียร์หนี้ไม่เอาดอกด้วย ขอแค่ให้กลับเข้ามาอยู่วงการทีวี ผมก็ร้องไห้ โทรบอกเมียบอกว่ามันมีด้วยเหรอคนแบบนี้ ผมพูดกับเมียแบบนี้นะ แล้วผมก็กลับมาเล่นละครตอนนั้น เล่นเรื่องอาจารย์โกย ของช่อง 3 โอ้โห เรตติ้งดีมาก มาเล่นละครของเค้า เขาก็ไม่ได้หักเงินจากผมเลย พอผมเริ่มฟื้นได้ เค้าก็ดันให้ผมกำกับหนัง เราด้วยความตกใจและเค้ามีพระคุณกับเราเลยรับปากไปทั้งที่ไม่รู้จะกำกับได้รึเปล่า จึงกำกับคนปีมะเรื่องแรก

        ตอนขับรถกลับบ้านยังนึกเลยว่า เรารับปากคนมีพระคุณไป จะกำกับหนังได้รึเปล่า ผมกำกับคนปีมะ และเรื่องหลวงพี่เท่ง หลังจากนั้นก็ทำมาเรื่อยๆ จนรู้สึกเริ่มอิ่มตัวจากการทำหนัง”

        ทำให้ได้กลับมามีวันนี้อีกครั้ง?

        “ครับ แล้วก็ขอบคุณ คุณปัญญา คุณประภาส และขอบคุณหลายๆ คนอย่างที่เค้ามองเห็นผม ตอนนั้นเชื่อไหมผมพูดไม่อาย ในช่วงที่มันแย่มาก ผมไปนั่งทุกสตูดิโอที่เค้าอัดรายการเพื่อให้รู้ว่าผมกลับมาแล้ว แต่ผมไม่รู้จะพูดยังไง ไปเผื่อจะมีงาน พยายามไปโปรยยิ้มให้เค้า แต่ปากมันอยากจะพูดว่าของานผมทำมั่ง แต่บางทีมันก็ไม่กล้าพูด”

        ตลกบางคนก็หลงระเริงไปกับผู้หญิง?

        “ผมก็เคยเป็นอย่างนั้น ในยุคคาเฟ่ที่หลงไปกับเรื่องนั้น เศรษฐกิจช่วงนั้นเงินมันหาง่าย ยุคที่ผมเล่นคาเฟ่โคตรเหนื่อยเลยนะ เพราะกลางวันไปถ่ายหนังอยู่ต่างจังหวัด ค่าตัวถูก กินสู้นางเอกพระเอกไม่ได้ สมัยนี้ดีในกองถ่ายมันเสมอภาค เมื่อก่อนพระเอกจัดโต๊ะ พวกตัวประกอบเข้าแถวรอกินข้าว ถ่ายละครเสร็จก็กลับมาเล่นตลก บางทีเล่นถึงตี 3-4 ได้เงิน 1,000-2,000 บาทเองนะ บางคณะ 500–700 ก็มี”

        แต่ก็เห็นรวย ขับรถเบนซ์กันนะ?

        “เมื่อก่อนรถเบนซ์มันยังถูก แต่ตอนนั้นที่ขับรถยี่ห้อดีๆ เค้ามีมากกว่าการเล่นตลก เค้าอาจจะมีธุรกิจ มีหนังมีละคร จริงๆ ลึกๆ ตลกมันหมุนเงินกันทั้งนั้นแหละ ไม่ได้มั่นคงเหมือนยุคนี้ เพราะยุคนี้มีทีวีรองรับ”

.

ที่มา : thairath

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ