"จบ ป.โท" ปลูกฟักทองบัตเตอร์นัท 1 ไร่ 3 เดือน เก็บผลผลิตขาย โกยรายได้หลักแสน!

LIEKR:

สาวจบปริญญาโท ปลูกฟักทองบัตเตอร์นัท 1 ไร่ 3 เดือน เก็บผลผลิตขาย ฟันรายได้หลักแสน!

        จบปริญญาโท ปลูกฟักทองบัตเตอร์นัท 1 ไร่ 3 เดือน เก็บผลผลิตขาย ฟันรายได้หลักแสน บัตเตอร์นัท เป็นผลไม้กลุ่มสควอช (Cucurbita moschata) รูปทรงคล้ายน้ำเต้า เป็นฟักทองเทศที่เติบโตเป็นเถา รสชาติหวาน มัน มีสีเหลืองอ่อนและส้ม โดยที่แกนเมล็ดอยู่ด้านล่างของผล เมื่อผ่าออกมาแล้ว จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มขึ้นและจะมีรสหวานขึ้น

        คุณ ทาริกา วงค์น้อย (พี่นิ) อยู่บ้านเลขที่ 99 หมู่ที่ 14 บ้านร่องปลาค้าว ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เกษตรกรสาวดีกรีปริญญาโท จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงแม้จะเริ่มเข้าสู่ชีวิตการเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวได้เพียง 4 ปี แต่ระยะเวลาแค่ 4 ปี ก็สามารถทำให้พี่นิสะสมประสบการณ์มาได้ไม่น้อย

 

Sponsored Ad

 

คุณทาริกา วงค์น้อย (พี่นิ)

        พี่นิ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวเกิดจากงานประจำก่อนหน้านี้ พี่นิเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยจบปริญญาโทจากคณะเกษตรศาสตร์ เมื่อเรียนจบได้เข้าทำงานที่ต้องข้องเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีค่อนข้างเยอะ ทำได้ระยะหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีอาการป่วยเรื้อรัง ร่างกายไม่แข็งแรง จึงตัดสินใจลาออกจากงานกลับมารักษาตัวที่บ้านนานนับปี ในช่วงระหว่างพักฟื้นก็คิดไปเรื่อย ว่าจะทำอะไรต่อไปดี ประจวบกับที่ตัวเองชอบการเกษตรและมีพื้นฐานด้านการเกษตรจึงทดลองหันมาปลูกพืชดู

 

Sponsored Ad

 

        มีพื้นที่น้อย จัดการให้ดี สามารถปลูกพืชหลายอย่างได้ หลังลาออกจากงาน พี่นิเริ่มจากการปลูกสตรอเบอรี่ เพราะมีพื้นฐานตอนเรียนมาก่อน การปลูกสตรอเบอรี่เริ่มจากการปลูกบนพื้นที่เล็กๆ ปลูกกินเองก่อน พอปลูกกินเองได้ผล จึงเริ่มขยายแปลงปลูก เมื่อขยายแปลงปลูกได้ผลตอบรับดีจากเพื่อนบ้าน และนักเที่ยวที่ผ่านไปมา หลังจากนั้น จึงเริ่มผันตัวมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว เมื่อปลูกสตรอเบอรี่สำเร็จ พี่นิพยายามมองหาพืชผักชนิดอื่นๆ เพื่อมาปลูกหมุนเวียนสร้างรายได้บนพื้นที่เดิม ทดลองปลูกหลายอย่าง และมาจับจุดว่าตัวไหนที่ตัวเองกินแล้วชอบ ก็นำมาเป็นพืชหลักของสวน

 

Sponsored Ad

 

        “เพราะถ้าเราปลูกในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราจะไม่กล้าพูดให้ลูกค้าฟังเลย ว่าอะไรอย่างนั้น อย่างนี้ ดังนั้นเราจึงเลือกปลูกที่ชอบเพื่อจะได้กล้าพูดได้เต็มปากว่าผลผลิตเราดีมีคุณภาพและอร่อยได้อย่างสนิทใจด้วย” พี่นิ ยืนยัน

        พื้นที่ทำเกษตรของพี่นิมีไม่มาก แต่สามารถจัดสรรให้ปลูกพืชหลายอย่างได้ พี่นิบอกว่า ช่วงหน้าหนาวพี่นิจะปลูกสตรอเบอรี่ หน้าร้อนปลูกเมล่อน และพืชเสริมตัวล่าสุดคือ ฟักทองบัตเตอร์นัท เพิ่งเริ่มปลูกได้เพียงปีกว่า แต่ถือเป็นพระเอกของสวนในตอนนี้ เพราะสามารถสร้างรายได้ให้พี่นิได้ถึงหลักแสนในระยะเวลาเพียง 3 เดือน

 

Sponsored Ad

 

        เริ่มแรกที่คิดจะปลูกฟักทองบัตเตอร์นัทเป็นพืชเสริม เพราะไปเห็นที่อื่นเขาปลูก และเห็นว่ารูปทรงแปลกๆ น่ารักดี ตอนนั้นก็ยังไม่รู้รสชาติว่าเป็นยังไง จึงคิดแค่นำมาปลูกไว้ประดับสวนให้สวยงาม แต่เมื่อปลูกไปสักระยะเริ่มเห็นข้อดีของบัตเตอร์นัท คือมีความทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่าเมล่อน และมีวิธีการปลูกคล้ายกับเมล่อน จึงทำให้คิดที่จะปลูกอย่างจริงจัง เมื่อคิดจริงจังก็ได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม และลองชิมรสชาติดู รสชาติอร่อยถูกใจ และมีคุณค่าทางอาหารสูง สามารถใช้เลี้ยงเด็กอ่อนได้ดี จึงคิดว่าตลาดน่าจะไปได้อีกไกล

 

Sponsored Ad

 

        ฟักทองบัตเตอร์นัท เป็นพืชสร้างรายได้หลักเข้ามาในขณะนี้ เพราะสามารถปลูกได้ทุกฤดู แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนจะติดดอกน้อย หน้าร้อนจะติดดอกได้ดีและมีลูกดกกว่า ถ้าเป็นหน้าหนาวระยะเก็บเกี่ยวจะนานกว่าหน้าร้อนไปสักหน่อย แต่ก็สามารถปลูกได้ทุกฤดู

        ขั้นตอนการปลูกไม่ยุ่งยาก

 

Sponsored Ad

 

        เริ่มจากการปรับปรุงดิน ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ มีการตากดินกวนดินตีดินเหมือนการปลูกพืชทั่วๆ ไป แต่ที่สวนพี่นิเป็นการทำแบบประณีต ทำเป็นแปลงเล็ก ใช้รถพรวนเล็กๆ และมีการใช้ปุ๋ยหมัก…ปุ๋ยหมักจะทำเอง โดยการนำเศษวัชพืช แกลบดิบ และวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นมาหมักทิ้งไว้ จะทำไว้ใช้เองข้ามปี เอามาผสมในดินที่จะใช้เตรียมปลูก

        การเตรียมดิน…

        เตรียมดินตากไว้ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นปรับสภาพดินด้วยการใส่ปูนขาว พร้อมใส่ปุ๋ยหมัก ขี้ไก่ ตีพรวนดินให้ละเอียดขึ้น และยกแปลงตามที่เราต้องการปลูก ในดินหลักๆ ปุ๋ยที่ใช้คือ เป็นขี้ไก่อัดแท่ง เพราะขี้ไก่จะผ่านกระบวนการหมักของโรงงานมาแล้ว อาจจะเป็นดูดมาจากบ่อหมักแก๊ส   

Sponsored Ad

        ระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1.20 เมตร ปลูกเป็นแถวเดี่ยวยกร่อง มีการปูพลาสติกคลุมดิน และวางระบบน้ำหยด

        ปุ๋ย…

        ให้ปุ๋ยเคมีละลายน้ำ เมื่อลงปลูกได้ 1 สัปดาห์ ต้นจะเริ่มโต ระหว่างนี้ไม่ต้องทำอะไรกับต้นมาก ให้หันมาเตรียมปักค้าง การปักเว้นระยะ 3-4 ต้น ปักไม้ 1 ท่อน ไม้ที่ปักเป็นไม้ไผ่ ยาวประมาณ 1.50 เมตร แล้วขึงเชือกขวางเพื่อให้ต้นเลื้อยขึ้นไปตามเชือก

        ระบบน้ำ…

        เป็นระบบน้ำหยดตอนต้นเล็กๆ ให้น้ำวันละครั้ง เมื่อโตขึ้นให้เพิ่มความถี่ เป็นวันละ 2-3 ครั้ง จะไม่ให้ครั้งเดียวเยอะๆ จะทำให้สิ้นเปลือง น้ำจะไหลนองพื้นปล่อยทิ้งไปเสียเปล่า

        ปุ๋ย ใส่แบบการคำนวณต่อต้น พื้นที่ 1 ไร่ แบ่งเป็น 2 รุ่น รุ่นที่ 1 ปลูกประมาณ 2,000-2,500 ต้น ในช่วงแรกจะให้ปุ๋ย 1 กรัม ต่อต้น ต่อวัน เมื่อต้นโตขึ้นจะมีการปรับให้ปุ๋ยมากขึ้นตามความเหมาะสม

        โรคแมลงที่พบ

        ปลูกแบบขึ้นค้างจะพบโรคแมลงได้น้อยกว่าการปลูกเลื้อยดิน ส่วนมากที่พบจะคล้ายกับพืชตระกูลแตงทั่วไป คือโรคราน้ำค้าง ราแป้ง โรคต้นเน่าโคนเน่าพบได้น้อย ค่อนข้างทนกว่าพืชตระกูลแตงทั่วไป ถ้าเกิดขึ้นจะกำจัดด้วยสารเคมีในระยะที่ยังไม่ติดดอกออกผล เมื่อต้นเริ่มแข็งแรงจะงดใช้สารเคมีทันที

        ปลูกแบบขึ้นค้าง เทคนิคสำคัญเพิ่มผลผลิต ประหยัดพื้นที่ รูปทรงสวยงาม การปลูกแบบขึ้นค้าง มีข้อดีหลายข้อด้วยกัน คือ ประหยัดพื้นที่กว่าการปล่อยให้เลื้อยตามดิน เพราะเราสามารถควบคุมการเลื้อยของต้นได้ต้นไม่เบียดเสียดสีกัน ทำให้รูปทรงผลและผิวสวยงามแมลงรบกวนน้อยได้ผลผลิตและจำนวนต้นเพิ่มมากขึ้น

        ต้นกล้าหลังจากหยอดเมล็ดได้ 5 วัน เริ่มย้ายปลูกได้หลังลงปลูก 10 วัน เริ่มปักไม้และขึงเชือก 12-14 วัน ผูกเชือกเพื่อยกยอดแต่ละต้นให้ไต่ขึ้นไปตามเชือกในแนวตั้ง

        หลังลงปลูก 10 วัน เริ่มปักไม้และขึงเชือกหลังปลูก 25-30 วัน ดอกตัวเมียพร้อมผสม ช่วยผสมโดยนำเกสรตัวผู้จากดอกตัวผู้มาแต้มที่ดอกตัวเมียที่มีลักษณะผลเล็กๆ ที่ขั้ว จะช่วยทำให้ติดผลดีและดกกว่าปล่อยให้ติดลูกเอง

        12-14 วัน ผูกเชือกเพื่อยกยอดแต่ละต้นให้ไต่ขึ้นไปตามเชือกในแนวตั้งหลังจากผสมเกสร 7-10 วัน ก็จะติดลูกให้เห็นชัดเจน

        ผลเมื่อแก่เต็มที่ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้ม ขั้วสีเขียวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน อายุนับจากผสมเกสร ประมาณ 40-50 วัน หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วผลผลิตเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น 2 เดือน

        หลังปลูก 25-30 วัน ดอกตัวเมียพร้อมผสมเกสรปลูก 3 เดือน เก็บผลผลิตได้ ฟันรายได้หลักแสน

        ฟักทองบัตเตอร์นัท เป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก แต่ต้องอาศัยการดูแลและเอาใจใส่ ช่วงหน้าร้อนและหน้าฝนตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยว ใช้เวลา 80-90 วัน หน้าหนาว 100-110 วัน

        พี่นิ บอกว่า มีพื้นที่ปลูกฟักทองบัตเตอร์นัท 1 ไร่ จะใช้วิธีการปลูกแบบสลับแปลง แบ่งซอยเป็นรุ่นๆ ให้มีผลผลิตออกต่อเนื่องทุกเดือน ปลูกฤดูฝนให้ผลผลิต 1-3 ลูก ต่อต้น หน้าร้อน 3-5 ลูก ต่อต้น เฉลี่ยกิโลครึ่งต่อต้น… 1 ไร่ เก็บผลผลิตได้ประมาณ 2.5 ตัน 1 รอบการปลูก ทั้งขายผลผลิตและเมล็ดพันธุ์ 1 ตัน สร้างรายได้ 80,000 บาท… 2 ตัน เป็นเงินแสนกว่าบาท

        หลังจากผสมเกสร 7-10 วัน ก็จะติดลูกให้เห็นชัดเจนต้นทุนหลักหมื่น รายได้หลักแสน

        ผู้เขียนถามกับพี่นิว่า….ผลตอบแทนดีขนาดนี้ ต้นทุนค่าใช้จ่ายเยอะตามไปด้วยไหม

        พี่นิ บอกว่า มาเดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟัง คือ 1 ไร่ ปลูกได้ 2,500 ต้น ถ้าเราคิดทุกอย่าง ค่าเมล็ดพันธุ์ เมล็ดละ 2 บาท เป็นเงิน 5,000 บาท ปุ๋ย 1 รอบการปลูก ใช้ 3 กระสอบ กระสอบละ 2,500 บาท เป็นเงิน 7,500 บาท ต่อไร่ ค่าน้ำไม่เสียเพราะดูดจากสระ ค่าไฟ 500 บาท ค่าแรงจ้างมาเตรียมดิน รวมแล้วเกิน 10,000 บาท ไม่มาก แต่ถ้าเริ่มปลูกครั้งแรกจะมีค่าไม้ปักค้างและเชือกขึงค่อนข้างหลายบาท แต่รุ่นต่อไปจะสบายละ เพราะสามารถใช้ได้นานนับปี

        ผลเมื่อแก่เต็มที่ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้ม ขั้วสีเขียวจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนการตลาดไปได้สวย ปลูก 1 ไร่ ผลผลิตไม่พอขาย

        พี่นิ ขายฟักทองบัตเตอร์นัท ในราคากิโลกรัมละ 80 บาท 1 ลูก น้ำหนัก 5-10 ขีด ตลาด ณ ปัจจุบัน ถือว่ากำลังไปได้ดี เป็นลูกค้าออนไลน์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เพจเฟซบุ๊กเป็นตัวโปรโมทและสื่อสารกับลูกค้า และถือเป็นการเล่าเรื่องราวว่าตอนนี้ที่สวนเรามีผลผลิตอะไร กำลังปลูกอะไรอยู่ การเจริญเติบโตไปถึงไหนแล้ว ลูกค้าก็จะรู้ความคืบหน้าของสวนเรา และถือเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ พอใกล้จะมีผลผลิตเขาจะเริ่มจองกันเข้ามา ลูกค้าจะเข้ามาสั่งกันเรื่อยๆ สั่งจนหมด ในระยะ 1 ปีกว่าที่ขายมา ยังไม่เคยได้นำผลผลิตออกไปขายข้างนอกเลย เพราะลูกค้าทางออนไลน์สั่งก็หมด ไม่พอขายแล้ว

        นอกจากการขายผล พี่นิยังมีเมล็ดพันธุ์ฟักทองบัตเตอร์นัทขาย โดยการต่อยอดจากสิ่งที่เรียนมา นำมาพัฒนาเมล็ดพันธุ์ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตอนแรกที่พี่นิเริ่มปลูกได้สั่งเมล็ดพันธุ์ทางออนไลน์ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และพบปัญหาคือ ปลูกแล้วผลผลิตเพี้ยนค่อนข้างเยอะ อาจเป็นด้วยปัจจัยทางสภาพอากาศ จึงได้ทดลองปลูกและเก็บข้อมูลหาข้อบกพร่องเพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์เพื่อปลูกในครั้งต่อไป ซึ่งตอนนี้พี่นิก็ทำสำเร็จแล้ว เมล็ดพันธุ์ค่อนข้างสมบูรณ์ พบการเพี้ยนได้น้อยมาก หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อซื้อที่พี่นิได้โดยตรง ราคาจำหน่าย เมล็ดละ 2 บาท

หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ผลผลิตเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น 2 เดือน

        สนใจสอบถามข้อมูลวิธีการปลูก หรือสนใจเมล็ดพันธุ์ฟักทองบัตเตอร์นัท ติดต่อ คุณ ทาริกา วงค์น้อย (พี่นิ) ได้ที่เบอร์โทร.081–885–7747

ข้อมูลและภาพ จาก sentangsedtee

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ