รู้จัก "โจ ไบเดน" เพื่อนรักโอบามา จากเด็กหลังห้อง สู่ผู้นำคนใหม่สหรัฐ ทั้งที่เคยแพ้มาแล้ว 2 ครั้ง

LIEKR:

เบื้องหลังชีวิต "โจ ไบเดน" ผู้นำสหรัฐคนใหม่ จากเด็กหลังห้องที่พูดไม่เก่ง #จากมือขวาโอบามา สู่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

    หลายเป็นเหตุการณ์เขย่าอเมริกาหลังผู้ “โจ ไบเดน” สามารถชนะเลือกตั้งและขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และวันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักเขาให้มากกว่านี้กันค่ะ...

    โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ (Joseph Robinette Biden, Jr.) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โจ ไบเดน อายุ 78 ปี เกิดเพนซิลเวเนีย แต่ไปโตที่เดลาแวร์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 3 คน  โจเป็นเด็กมีปัญหาด้านการพูดติดอ่างมาตั้งแต่เด็ก และเคยส่งไปบำบัด แต่ก็ไม่ดีขึ้น เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการฝึกพูดด้วยตัวเองที่หน้ากระจก จนมีอาการดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้หายขาด ทุกวันนี้ก็ยังมีการพูดติดอ่างเป็นบางครั้ง

 

Sponsored Ad

 

    ตอนที่เป็นเด็กครอบครัวเขาได้ประสบปัญหาด้านธุรกิจจนต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนคาทอลิกจนจบมัธยม และเข้าเรียนด้านรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เขาสอบได้อันที่ 506 จากเด็กทั้งหมด 688 คน

    โจได้รับแรงบันดาลใจจากจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในวันสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี จนสนใจเข้าสู่เส้นทางการเมือง เขาเลยตัดสินใจเรียนต่อทางด้านวิชากฎหมาย จนสามารถคว้าปริญญาอีกใบจากวิทยาลัยนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก ได้สำเร็จ ในอายุเพียง 26 ปี

 

Sponsored Ad

 

    ระหว่างเรียนที่นั่นได้พบรักกับแฟนสาว และตกลงแต่งงานกัน จนมีลูกด้วยกัน 3 คน  หลังจากนั้น 4 ปี โจได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกวุฒิสภาสมัยแรก ขณะเดียวกันภรรยาก็ประสบอุบัติเหตุพร้อมลูกอีก 3 คน แต่เธอกับลูกลูกสาวไม่รอด ตอนนั้นเขามีทางเลือกคือขึ้นรับตำแหน่งหรือไปเป็นชายหนุ่มธรรมดาเพื่อดูแลลูกอีก 2 คนที่ยังมีชีวิตรอด...

    ช่วงที่ได้เป็นส.ว. โจ ต้องใช้เวลานั่งรถไฟไปกลับวันละ 3 ชั่วโมง ระหว่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กับรัฐเดลาแวร์เพื่อดูแลลูกๆ ซึ่งป่วยจากอาการบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุ ภาพนี้สะท้อนให้ผู้ที่สนับสนุนมองว่า โจ จะเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่เข้าใจถึงความลำบากของประชาชนที่สุด

 

Sponsored Ad

 

    หลังจากภรรยาคนแรกได้จากไป 3 ปีเขาได้พบรักสาวคนใหม่ และได้ตกลงแต่งงานกันใน 2 ปีถัดมาพร้อมกับมีทายาทเพิ่มอีก 1 คน โจเป็น ส.ว. ติดต่อกัน 36 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่เส้นทางการเมือง เขาพยายามลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 46 ครั้งที่สองตอนอายุ 66 และครั้งสุดท้ายในปีนี้และเขาคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้สำเร็จ

 

Sponsored Ad

 

    สองครั้งก่อนหน้านี้ที่โจได้สมัครชิงตำแหน่งนั้น โจไม่ได้รับเสียงสนับสนุนในพรรคมากพอ เนื่องจากต้องหลีกทางให้นักการเมืองหนุ่มเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันไฟแรง บารัก โอบามา และกลายมาเป็นขุนพลมือขวาของโอบามาแทน

    ตอนที่เป็นมือขวาให้โอบามานั้น เขาได้ให้คำปรึกษาแก่โอบามา โดยเฉพาะการให้มุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับนโยบายด้านต่างประเทศทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงมีส่วนร่วมในการให้มุมมองต่อโอบามาในปฏิบัติการสังหาร  ยังมีบทบาทในฐานะผู้เจรจากับฝ่ายนิติบัญญัติ ช่วยผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ร่างงบประมาณฯ และผลักดันระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ให้เกิดขึ้นจริง

 

Sponsored Ad

 

    โจกับโอบามา มีสัมพันธ์แบบพี่น้องที่สนิทสนมลึกซึ้ง โดยช่วงปีสุดท้ายก่อนที่โอบามาจะสิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้มอบรับเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดี อิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด ซึ่งประธานาธิบดีมอบเพื่อเป็นเกียรติคุณแก่ผู้รับซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็น "ผู้อุทิศตนในการสร้างความั่นคงและสนับสนุนผลประโยชน์ของชาติ" ให้กับ โจ โดยระหว่างพิธีมอบเหรียญ โอบามาสร้างเซอร์ไพรส์ จนไบเดนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

 

Sponsored Ad

 

    โจยังเป็นสมาชิก Narcotics Control Caucus ซึ่งมีจุดประสงค์สำคัญคือ การต่อต้านยาเสพติด และควบคุมป้องกันเส้นทางการค้ายาจากต่างชาติ เขายังเป็นคนที่มีบุคลิกเรียบง่าย ตรงกันข้ามกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยความที่เข้าถึงง่าย และติดดิน เขาจึงมีความเข้าอกเข้าใจชนชั้นแรงงาน และได้ใจกลุ่มคนชั้นรากหญ้า การเป็นรองประธานาธิบดีมา 8 ปี ทำให้เขาได้รับความเคารพจากสมาชิกพรรคเดโมแครต และเป็นที่เชื่อถือของประชาชนที่สนับสนุนพรรคนี้ด้วยเช่นกัน

    อีกเหตุผลที่ทำให้ โจ ได้ใจผู้หญิงและชาวผิวสีไปเต็ม ๆ คือ การที่เขาเลือก คามาลา แฮร์ริส มาเป็นคู่ชิงเลือกตั้ง ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันที่มีผู้หญิง ซ้ำยังเป็นหญิงผิวสี ได้มายืนตรงจุดนี้

    โจได้บอกว่า จะทำให้สหรัฐฯ กลับมาหยัดยืนในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิอีกครั้ง รวมทั้งสานต่อเจตนารมณ์ของโอบามา ในเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณูปโภคและการรักษาพยาบาลที่ทุกคนเข้าถึงได้ รวมไปถึงการเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนที่มีรายได้ต่ำ เช่น คนงานโรงงานอุตสาหกรรม

ที่มา : New York Times, Britannica, Biography

บทความที่คุณอาจสนใจ