"ปลาไทย" เศรษฐกิจราคาดี ส่งออกขายเมืองนอก ได้กิโลละ 3,000 บาท เป็นที่ต้องการทั่วโลก!

LIEKR:

"ปลาไทย" เศรษฐกิจราคาดี ส่งออกขายเมืองนอก ได้กิโลละ 3,000 บาท เป็นที่ต้องการทั่วโลก!

        วันนี้เรามีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับธุรกิจพารวยมาฝาก เป็นการเลี้ยงเศรษฐกิจ ที่สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ถึงกิโลละ 3,000 บาท และที่สำคัญตลาดรับซื้อไม่อั้น!! 

        ต้องบอกเลยว่าเป็นปลาน้ำจืดราคาแพงที่สุดในโลกหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ถ้าบอกว่าแพงที่สุดในอาเซียนน่าจะได้ ราคาซื้อขายในบ้านเราอยู่ที่ กก.ละ 3,000 บาท แต่ถ้าในฮ่องกง 8,000 บาท

 

Sponsored Ad

 

    ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับชาวเกษตรทั้งหลายที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเลี้ยงอะไรเพื่อสร้างรายได้เสริม วันนี้เราจะขอแนะนำ ปลาพลวงชมพู ซึ่งบอกเลยว่าสามารถนำมาขยายพันธุ์แล้วนำมาเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นลองตามกันมาดูเลย ปลาพลวงชมพู เป็นปลาน้ำจืด ที่อยู่ตามจังหวัดยะลา โดยลักษณะโดดเด่นของมัน ก็คือ มีเกล็ดเป็นสีชมพู ครีบหลังและครีบห่างมันเป็นสีแดง

 

Sponsored Ad

 

        ซึ่งสามารถรับประทานได้ทั้งเกรด และเป็นที่นิยมบริโภคในแถบอินโดจีนและมาเลเซีย แต่ก็ยังไม่มีสถาบันไหนสามารถวิจัยกัน เพราะขยายของปลาสายพันธุ์นี้ได้ และก็ได้มีกฎหมายนั้นห้ามจับจากธรรมชาติมารับประทานอย่างเด็ดขาด ดร.จูอะดี พงศ์มณีรัตน์ รองอธิบดีกรมประมง เผยว่า ปลาพลวงชมพูนั้นทางด้านกรมประมง ได้เข้ามาทำการศึกษาวิจัยจนสามารถนำมาขยายพันธุ์ และส่งเสริมให้ชาวเกษตรกรนั้นเลี้ยงเพื่อเป็นการสร้างรายได้

        โดยปลาพวงชมพูนั้นจะมีราคาที่สูงเพราะเป็นปลาที่มีรสชาติดีและหายาก อีกทั้งปลาพลวงชมพูนั้นในแต่ก่อนในการขยายพันธุ์ญาติซึ่งจะอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ สำหรับการเลี้ยงปลานั้นต้องเป็นพื้นที่ที่มีน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา และต้องมีออกซิเจนในน้ำสูงซึ่งถ้าหากมีออกซิน้อยน้อยปลาก็จะตายในทันที ปลาพวงชมพูเป็นปลาที่ให้ไข่น้อยอยู่ที่ประมาณ 700 ถึง 800 ฟองเท่านั้น

 

Sponsored Ad

 


        เมื่อเทียบกับปลาชนิดอื่นแล้วอยู่ประมาณ 10,000 ถึง 200,000 ฟองขึ้นไป และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลาพลวงชมพูนั้นเกือบได้สูญพันธุ์นั่นเอง จากการทดลองขยายพันธุ์จะเห็นได้ว่าเป็นปลาขยายพันธุ์ยากกว่าปลาน้ำจืดชนิดอื่น เนื่องจากระยะไข่สุกนั้นได้มีจำนวนน้อย ในการทำวิจัยก็ได้นำปลาพวงชมพูนั้น ไปเลี้ยงในบ่อดินที่มีต่อท่อส่งตรงมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติแล้วก็ปล่อยให้น้ำนั้นมีการไหลผ่านระบายออกไปหลัง

 

Sponsored Ad

 

        จากนั้นก็ทำการปล่อยปลาที่มีขนาดประมาณสองถึง 3 นิ้วและหนักอยู่ใน 20 กิโลกรัมในอัตราห้าตัวต่อบ่อ ส่วนอาหารของมันก็จะใช้เป็นอาหารที่ให้ปลาดุกกินให้วันละสองครั้ง เช้า-เย็น และใช้เวลาเลี้ยงอยู่ประมาณ 2-3 ปีถึงจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลกรัม ซึ่งถึงจะได้ขนาดตามความต้องการของตลาด ปลาพลวงชมพูนั้น จะให้ค่าตอบแทนที่สูงมาก

        ซึ่งหากเลี้ยงได้อยู่ที่ประมาณ 2 กิโลกรัมก็สามารถขายได้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาทต่อตัว ซึ่งในปัจจุบันมีตลาดรับซื้อไม่อั้นจากประเทศมาเล อินโดและจีน และได้มีการสั่งจองร่วงหน้ามากกว่าหนึ่งปีเพราะว่า กว่าปลาจะโตก็ใช้อายุสองปีในการเจริญเติบโต ปลาพลวงชมพู ถือได้ว่าเป็นปลาเศรษฐกิจตัวหนึ่ง ที่มีตลาดรับซื้อไม่อั้นในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน

 

Sponsored Ad

 

        โดยประเทศมาเลเซีย ได้มีการสั่งจองไว้ล่วงหน้า 1 ปีมาแล้ว แต่ด้วยปลามีอายุเพียง 2 ปี ซึ่งยังไม่เติบโตเต็มที่ จึงยังไม่ได้ส่งออก ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา ได้ศึกษาอย่างต่อเนื่องในการเลี้ยงปลาพลวงชมพู ในบ่อซีเมนต์ ด้วยระบบน้ำหมุนเวียน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายพันธุ์ปลาพลวงชมพูให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น


 

Sponsored Ad

 

        สำหรับใครที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์ 0-7329-7042 หรือสามารถมาศึกษาดูงานได้ที่ศูนย์เรียนรู้ด้านการประมง การเลี้ยงปลานิลเชิงพาณิชย์ ของ นายสันติชัย จงเกียรติขจร ตั้งอยู่เลขที่ 138 หมู่ที่ 2 ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา โทร. 09-5094-6153


บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ