เปิดชีวิต "กร" นักสู้ยอดกตัญญู ต้องปิดบังว่ามองไม่เห็น เพื่อให้ได้งานทำ เลี้ยงดูจุนเจือพ่อแม่ชรา

LIEKR:

ชายหนุ่มคนนี้มีแค่ดวงตาข้างเดียว แต่ยังสามารถหาเลี้ยงพ่อแม่และครอบครัวได้ราวกับคนปกติ ขอชื่นชมค่ะ

        "ความพยายามไม่ทรยศใคร" คือคำนิยามที่เหมาะสมสำหรับ ชายหนุ่มสู้ชีวิตวัย 30 ปีที่ชื่อ “ธนากร เพ็งจันทร์” หรือชื่อที่พ่อแม่เรียกชื่อเล่นว่า “กร” อีกหนึ่งนักสู้ที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีชื่อเสียงทั้งจากโลกออนไลน์หรือโลกแห่งความจริง แต่เขาคือแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน

        “ผมเป็นคน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีพี่น้องรวม 4 คน ผมเป็นลูกคนที่ 3 ของครอบครัว จำความได้ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นพ่อขี่วิน จยย. ส่วนแม่ขายกับข้าวในตลาด ฐานะเราค่อนข้างลำบาก หาเช้ากินค่ำ ยิ่งมีลูกมากก็ยิ่งฝืดเคือง แม้ว่าผมจะเรียนได้ปานกลางไม่ดีไม่แย่ แต่สุดท้ายก็ต้องลาออกตอนเรียนจบ ม.3 เหตุผลคือเพื่อให้น้องคนสุดท้องได้เรียนหนังสือแทน”

 

Sponsored Ad

 

        ชีวิตของ “กร” ยากลำบากกว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมสมัยช่วง 10 ขวบ เมื่อจอประสาทตาก็เกิดเสื่อมขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

 

Sponsored Ad

 

        “เหตุการณ์วันนั้นผมจำได้ไม่ลืม เพราะมันคือสิ่งที่ทำร้ายผมมาทั้งชีวิต วันนั้นผมไปขายของกับแม่ พอเสร็จงานแม่ก็พาเดินเที่ยวงานวัด ตอนขากลับบ้าน ดวงตาผมที่ตอนแรกเห็นชัดเจน จู่ๆ มันก็มืดกะทันหันทั้ง 2 ดวง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันคล้ายกับเรากดปิดสวิทช์ไฟ เห็นแต่ความดำมืดมิดไปหมด ผมร้องไห้ แม่ก็ตกใจรีบพาไปหาหมอ

        หลังส่องกล้องและตรวจเช็ก คุณหมอก็แจ้งข่าวร้ายกับ “กร” ว่าจอประสาทตาซ้ายเสื่อมหนักมากจนเกินเยียวยาแล้ว คงเพราะยังเป็นเด็กอยู่เลยทำให้ไม่ทันรู้ตัวจนมันลุกลาม ส่วนตาขวายังพอเปลี่ยนจอประสาททัน สุดท้ายเขาจึงเหลือตาขวาข้างเดียวที่ไว้มองดูโลกกว้าง

 

Sponsored Ad

 

        “นี่คือช่วงวิกฤติของชีวิตเลย ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นเด็กวัยแค่ 10 ขวบ แต่กลับใช้ดวงตาแค่ข้างเดียวมันจะทรมานแค่ไหน ผมร้องไห้บ่อยมาก รู้สึกท้อแท้ ร้องแล้วร้องอีก เราเป็นคนแปลกแตกต่างจากเพื่อนๆ สิ่งที่ตามมาคือคำว่ากล่าวต่างๆ อาทิ ไอ้แว่น ไอ้เข ไอ้เหล่ ไอ้บอด แล้วก็อีกมากมายตามแต่ว่าคนเขาจะหาคำไหนมาเท่านั้นเอง”

        วันเวลาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจมันสะสมมากเข้าๆ จนกลายเป็นความเข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ จาก ด.ช.กร เติบโตขึ้นเป็น นายกร เขาชนะใจเพื่อนๆ ประถมและมัธยมได้ด้วยความอดทนอดกลั้นและพยายามทำให้ได้เหมือนคนปกติคนหนึ่ง กระทั่งเพื่อนๆ ยอมรับ

 

Sponsored Ad

 

        “หลังจากที่ผมจบชั้น ม.3 ก็ต้องออกจากโรงเรียนมา ทำให้ได้พบความจริงอีกประการคืองานส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยให้โอกาสผู้ พิ ก า ร แต่ก็ไม่ว่าพวกเขาหรอกนะเพราะพวกเขาคงกลัวว่าอาจจะทำไม่ได้เช่นมนุษย์คนอื่น ผมสมัครหลายที่ก็ไม่มีใครรับ รู้สึกสับสน ตกกลางคืนท้อพอเช้าก็ลุกสู้ใหม่ พอกลางคืนของอีกคืนก็ท้ออีก แล้วพอเช้าอีกวันก็ลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง เป็นแบบนี้อยู่นานพอสมควร”

        แต่แล้วก็คล้ายกับฟ้าเปิด เมื่อมีคนรู้จักติดต่อแนะนำให้ “กร” ไปเป็นเด็กล้างจานตอนกลางคืน ซึ่งที่นี่เขาให้โอกาสทำงาน กรรู้สึกดีใจมากที่มีงานทำ งานล้างจานมันไม่ยากอะไรแค่ต้องคอยมองทางซ้ายที่มืดบอดให้ดี กลัวจะเดินไปชนคนโน้นคนนี้เขา

 

Sponsored Ad

 

        “ทำได้พักใหญ่ก็คิดว่าต้องหางานเพิ่ม งานล้างจานตอนกลางคืนค่าแรงแค่ 100 บาท มันไม่พอ คิดว่าช่วงกลางวันเรายังว่างต้องหางานทำอีกเพื่อจุนเจือครอบครัว แล้วผมก็โชคดีเหลือเกินที่ได้งานไปเป็นกรรมกรในร้านวัสดุก่อสร้าง เพราะได้ค่าแรงงานวันละ 145 บาท แต่ต้องยอมรับว่าผมไม่ได้บอกเถ้าแก่เรื่องดวงตา กลัวเขาจะไม่ยอมรับ กระทั่งวันหนึ่งหลังจากเถ้าแก่ยอมรับในความขยันขันแข็ง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องดวงตาให้เขาฟัง แต่เขาไม่ว่าอะไรเลย บอกแค่ว่าสงสาร คงลำบากมากที่เป็นแบบนี้”

        “กร” อุตสาหะทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนมาตลอด 7 – 8 ปี ก่อนที่ความชำนาญผสมความรอบรู้จะทำให้เขาต่อยอดได้มาอยู่ที่ร้านวัสดุก่อสร้างชื่อดังของจังหวัด คอยแนะนำวัสดุก่อสร้างให้กับลูกค้า ตอนแรกคนรับสมัครเขาก็ไม่รู้เรื่องดวงตาจึงรับเข้ามา มีแค่เพื่อนๆ ร่วมงานที่รับรู้และให้กำลังใจว่า คุณเก่ง คุณสู้ คุณต้องทำให้เห็นว่าคุณก็ทำได้ คำเหล่านั้นคือยาชโลมใจทำให้เขาทำได้จริงๆ จนหัวหน้าและทุกๆ คนยอมรับ

 

Sponsored Ad

 

        “ตอนนั้นทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้ว แต่แล้วมันก็เกิดอุปสรรคขึ้นมาทีเดียว 2 เรื่องซ้อน เรื่องแรกคือแม่ผมล้มในบ้านจนหมดสติ หลับที่โรงพยาบาลนาน 4 วัน ผมร้องไห้ไม่หยุด ได้แต่ภาวนาขอปาฏิหาริย์ มันเหมือนคำขอเป็นจริง แม่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่สามารถทำงานหนักๆ ได้อีกแล้ว ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับผมที่ต้องทำงานหนักขึ้น ส่วนพ่อก็แก่ชรามากขี่วินไม่ค่อยไหวแล้ว”

        อุปสรรคอีกเรื่องคือ “กร” ได้เลิกกับภรรยาคู่ชีวิตที่จดทะเบียนอยู่กินกันมา 5 ปี ความเศร้าแทรกซึมเข้ามา แต่ต้องบอกว่าไม่นานมากเพราะเขาผ่านอะไรมามากมาย ที่สำคัญยังมี “พ่อแม่วัยชรา” ที่ต้องดูแลอีก เมื่อปาดน้ำตาเสร็จก็ถึงเวลาใช้ดวงตาข้างเดียวกับแขนขาก็ยังมีลุกขึ้นสู้ต่อไป

Sponsored Ad

        “พ่อแม่ผมยังสำคัญที่สุด แล้ววันหนึ่ง "คุณทศ" เจ้าของเดลิเวอรี่ปากช่อง เขาก็ติดต่อมาแล้วชวนไปทำงาน บอกว่ามีคนแนะนำมาเพราะชอบในความขยัน ใจสู้ ทำให้ผมดีใจมากที่เขาให้โอกาส ตั้งแต่นั้นมาผมก็ทำงานที่ร้านวัสดุช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนมาขี่เดลิเวอรี่”

        คงไม่ต้องถามนะว่าใช้ “ตาข้างเดียว” แล้วขี่ จยย.ไม่ลำบากหรือ ใช่แล้วมันลำบากแน่นอน ซึ่ง “กร” ก็เคยป ร ะ ส บ อุ บั ติ เ ห ตุ ตอนเอาอาหารไปส่งลูกค้า แล้วโดน จยย.อีกคัน ที่พุ่งออกมาจากทางด้านซ้ายในจุดลับสายตาของเขา ทำให้ จยย.พุ่งชนกันเต็มๆ ตอนนั้นกรามหักต้องพักขี่ 1 เดือน

        "ยิ่งประสบเหตุก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งต้องระวังมากขึ้น ระวังมากกว่าคนมีตา 2 ข้าง มากทวีคูณ ถ้าไม่เห็นชัดๆ หรือไม่แน่ใจผมจะไม่บิดคันเร่งแน่นอน ทุกอย่างต้องชัวร์ต้องมั่นใจว่าปลอดภัย ผลลัพธ์ที่ได้คือ อาหารถึงมือลูกค้า ตัวผมปลอดภัย พ่อแม่ไม่เป็นกังวล มีเงินค่าแรงไปดูแลครอบครัว”

        “กร” ทิ้งท้ายว่า คน พิ ก า ร ก็มีจิตใจ เป็นมนุษย์เหมือนทุกๆ คน ขอเพียงโอกาสที่สังคมหยิบยื่นมาให้ พวกเราก็พร้อมจะคว้าโอกาสนั้นไว้ คนพิการก็เหมือนกัน อย่าโทษดินโทษฟ้า ชะตาชีวิตเราถูกสร้างมาแบบนี้ ทำไมไม่ลองลุกขึ้นสู้แล้วลองท้าทายชะตากรรมของเราดูสักครั้งล่ะ

ข้อมูลและภาพจาก dailynews

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ