อาหารที่ "คนญี่ปุ่น" แนะนำให้ทาน เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในร่างกายสูงเกินไป

LIEKR:

คุณหมอญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านการลดไขมัน และรักษาโรคอ้วนมากว่า 30 ปีแล้ว บอกว่า “ไม่มีอะไรที่หมอห้ามไม่ให้กินนะ” “กลับกัน..หมอจะคอยบอกคนไข้ว่าให้กินสิ่งที่ชอบได้อย่างเป็นอิสระ”

    เมื่อเข้าสู่วัยเลยกลางคน สิ่งที่ต้องระวังคือการไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป เพราะอาจก่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตัวต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น เหนื่อยหรืออ่อนล้าผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตัว ตาพร่ามัวและ บางครั้งอาจะตาลายจนถึงอาจนำไปสู่การหมดสติได้ 

    วันนี้ทีมงานจะทุกท่านมารู้จักอาหารที่คนญี่ปุ่นแนะนำให้คนเป็นเบาหวานรับประทาน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกันนะคะ

 

Sponsored Ad

 

    ทางด้าน เพจ บูม JapanSalaryman ได้ระบุว่า... คุณหมอญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านการลดไขมัน รักษาคนไข้โรคเบาหวาน และโรคอ้วนมากว่า 30 ปีแล้ว บอกว่า “ไม่มีอะไรที่หมอห้ามไม่ให้กินนะ” “กลับกัน..หมอจะคอยบอกคนไข้ว่าให้กินสิ่งที่ชอบได้อย่างเป็นอิสระ” 

 

Sponsored Ad

 

.

.

    อันนึงที่เจ๋งคือหมอจะมีเครื่องวัดไขมันในช่องท้องแบบง่าย โดยไม่ต้องใช้เครื่อง CT Scan (ปกติเข้า CT ถึงจะเห็น) แล้วหมอก็ทำแผนภาพให้เข้าใจง่ายว่า ไขมันในท้อง xx ตารางเซนติเมตร นั้นมากน้อยแค่ไหน 

    เมื่อคนไข้เห็นแบบนี้จะรู้สึกตระหนักมากขึ้น  แล้วจริงจังลดไขมันในช่องท้อง ที่ไทยมีมั้ยอะ?

 

Sponsored Ad

 

    หมอบอกว่าหมอจะคำนวณแคลอรี่ที่กินได้ในหนึ่งวันให้ แล้วยกตัวอย่างอาหารทุกอย่างให้เห็นภาพชัดว่า อาหารอะไร ไซส์ประมาณนี้กี่แคลอรี่ หน้าที่เราคือกินอะไรก็ได้ แต่ควบคุมไม่ให้เกินที่หมอบอก วิธีนี้ดูเหมือนง่าย แต่ต้องมีวินัยมากๆ เลยนะครับ 

    ไขมันจริงๆ แล้วแบ่งเป็น 3 ประเภทเลยนะครับ ที่เรารู้จักจะเป็นไขมันใต้ชั้นผิวหนัง แต่ที่ต้องระวังคือไขมันระหว่างช่องท้อง อยู่ข้างในช่องท้องเราเกาะติดตามอวัยวะภายในต่างๆ ทำให้อวัยวะภายในเราทำงานได้ไม่เป็นปกติ

 

Sponsored Ad

 

ที่มา : บูม JapanSalaryman 

    ผู้ป่วยโรคเบาหวานร้อยละ 90 ในญี่ปุ่นเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารมากเกินไปและขาดการออกกำลังกาย การป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงเกินไปนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงสารอาหารที่รับประทานเข้าไป อาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวานคือ อาหารที่มีแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แมงกานีส โครเมียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมและสังกะสี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการผลิตฮอร์โมนอินซูลินที่มีหน้าที่สำคัญคือการนำน้ำตาลในเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงาน และลดการสะสมอยู่ในกระแสเลือด โดยอาหารที่ดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานมีดังนี้ คือ

 

Sponsored Ad

 

หอมใหญ่

    หอมใหญ่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่ช่วยเสริมการสร้างอินซูลินในร่างกาย การรับประทานหอมใหญ่วันละ ¼ หัว จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่หากรับประทานแล้วปริมาณน้ำตาลยังไม่ลดก็สามารถเพิ่มเป็นวันละ ½ หัวได้ โดยวิธีรับประทานนั้นสามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบหรือปรุงเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามไม่ควรนำหอมใหญ่หั่นแช่น้ำเพราะวิตามินในหอมใหญ่จะละลายและสูญเสียไปกับน้ำ

กระเจี๊ยบเขียว

 

Sponsored Ad

 

    สารเมือกในกระเจี๊ยบเขียวเป็นเส้นใยอาหารจำพวกมิวซิน (Mucin) และเพกติน (Pectin) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิต และช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดโดยการเข้าไปห่อหุ้มน้ำตาลที่ลำไส้เล็กไว้ อีกทั้งกระเจี๊ยบเขียวยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ได้แก่ แมกนีเซียมและสังกะสี ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานที่ดีของอินซูลินด้วย

ข้าวกล้อง ข้าวสาลี และธัญพืชต่าง ๆ

Sponsored Ad

    ข้าวกล้อง ข้าวสาลี และธัญพืชเต่าง ๆ อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร เมื่อรับประทานทำให้ต้องเคี้ยวอย่างละเอียดซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและพึงใจ นอกจากนี้วิตามินและแร่ธาตุที่มีมากในธัญพืชเหล่านี้จะไปช่วยส่งเสริมการทำงานที่ดีของอินซูลิน

ว่านหางจระเข้

    ว่านหางจระเข้อุดมไปด้วยโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลินและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับวิธีการนำมารับประทานนั้นทำได้โดยการปอกเอาเฉพาะส่วนที่เป็นวุ้นใสมารับประทานเป็นน้ำว่านหางจระเข้ หรือรับประทานกับโยเกิร์ต เป็นต้น

กล้วย

    กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะโพแทสเซียมซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด กล้วยเป็นของว่างที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่รับประทานกล้วยให้ดีต่อสุขภาพคือวันละ 1 ผล

    เบาหวานเป็นโรคที่รักษาให้หายได้จากการปรับพฤติกรรมทั้งการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การไม่เครียดและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากผู้สูงอายุในบ้านมีอาการน้ำตาลในเลือดสูงจากเบาหวานก็ลองดูแลท่านด้วยอาหารข้างต้นดูนะคะ หากได้ผลดีก็จะช่วยลดการรับประทานยา ซึ่งเมื่อใช้ไปนาน ๆ นั้นจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงแก่ร่างกายได้ 

ที่มา : minamitohoku, anngle


บทความที่คุณอาจสนใจ