พ่อเลี้ยงเดี่ยว "แบกกระสอบ3,500ตัน" เก็บเงินซื้อบ้านในเมือง แค่ผมเห็นหน้าลูกก็หายเหนื่อยแล้ว

LIEKR:

พจนานุกรมของคนเป็นพ่อ ไม่มีคำว่า "เหนื่อยและท้อ"

    สื่อต่างประเทศเปิดเผย เรื่องราวของ นายราน คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกชายมาด้วยหยาดเหงื่อ เขาทำงานเป็นคนแบกสินค้าในย่านธุรกิจต้าเจิ้น เมืองเฉาเทียนเหมิน ของประเทศจีน หลายคนที่นี้รู้จักเขาเป็นอย่างดี เมื่อเขาเดินผ่านร้านไหนก็ต่างพากันโบกไม้โบกมือทักทายเขาเสมอ 

    ในปี 2010 เรื่องราวของนายรานก็ถูกชาวเน็ตเผยแพร่กันออกไป และนี่คือภาพแรกที่ชาวเน็ตได้รู้จักเขา ต่างพากันยกย่องชื่นชมเขา พนักงานขนส่งสินค้าแบกของหนักทุกวันเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว หลังจากนั้น 10 ปีหลายคนจึงสงสัยว่า เขายังสบายดีไหม?

 

Sponsored Ad

 

    คนจีนนับไม่ถ้วนเมื่อได้เห็นรูปนี้ ก็จะจดจำสามประโยคที่มาพร้อมกับรูปนี้ได้ว่า "บ่าที่เขาแบกนั้นคือครอบครัว ปากของที่คาบไว้นั้นคือตนเอง และมือที่เขาจูงอยู่นั้นคืออนาคต"

 

Sponsored Ad

 

    ภาพนี้ถูกถ่ายในวันพ่อเมื่อปี 2010 ตัวเอก นายรานแบกสินค้าหนักกว่า 100 กิโลกรัม มืออีกข้างจูงลูกชายตัวน้อยของเขาเพื่อเดินลงบันได ส่วนปากก็คาบบุหรี่ ด้วยท่าทางที่นิ่งและมุ่งมั่นในตลาดยขายส่งของเมืองเฉาเทียนเหมิน

    เป็นเวลา 10 ปีที่พ่อลูกคู่นี้ถูกลืมไปแล้ว แต่ช่างภาพ ชวี่คังผิง ผู้ที่บังเอิญถ่ายภาพของพวกเขาไว้นั้น กลับจดจำพวกเขาได้ขึ้นใจ เขาได้เฝ้าสังเกตพ่อลูกคู่นี้ตลอดเวลา จากนั้นใช้เลนส์การถ่ายภาพเก็บบันทึกเรื่องราวของพวกเขาไว้อย่างสมบูรณ์

    ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เขาโด่งดังโดยไม่รู้ตัว แต่ชื่อเสียงก็ไม่ได้นำพาการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิตของเขา เขายังคงทำงานแบกหามแบบนี้ทุกวัน แต่ทว่าธรุกิจของเราดีขึ้นเรื่อยๆ เจ้านายหลายคนก็เชื่อใจเขา หลายคนก็บอกว่าเคยเห็นเขาในรายการทีวี ทุกครั้งที่ช่างภาพชวี่คังผิงเดินทางมาที่ฉงชิ่ง ก็จะมาบ้านของนายรานเสมอ มากินข้าวด้วยกันมื้อหนึ่ง พูดคุยสนทนากับพวกเขาพ่อลูกสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้พวกเขามีความทรงจำเกี่ยวกับช่างภาพชวี่คังผิงบ้าง จะได้จดจำเขาได้

 

Sponsored Ad

 

    นี่คือภาพที่บันทึกถ่ายไว้เมื่อปี 2015

    ทุกครั้งที่ช่างภาพโทรหาเขาว่าอยู่ไหน? เขามักพูดคำเดิมว่า "ต้าเซิง" ร้านแห่งหนึ่งในย่านนั้น 1 ปีมี 365 วัน เขาทำงานตากลม ตากฝนที่นี่ตลอด 350 วัน ไม่ค่อยได้หยุดพักผ่อน แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่โทรหานายรานอีกแล้ว เขาเดินไปที่ตลาดขายส่งที่ชื่อ ต้าเซิงเพื่อไปหาเขาด้วยตนเองเลย

 

Sponsored Ad

 

    นี่คือภาพที่บันทึกถ่ายไว้เมื่อปี 2015

    กระสอบสินค้าที่เขาแบกนั้นมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม เขาสามารถแบกขึ้นลงบันไดและเดินไปส่งของตามร้านที่มอบหมายได้ เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในย่านนี้ คนส่วนใหญ่ทุกร้านรู้จักเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ก็มีเรื่องราวของเขาไปทั่ว เขาทำงานแทบเป็นแทบตายด้วยพละกำลังที่มากมายของเขา เป็นคนที่พึ่งพาได้

    นี่คือภาพที่บันทึกถ่ายไว้เมื่อปี 2019 แม้ว่าจะผ่านไป 10 ปีแล้วเขาก็ยังดูมีเรี่ยวแรง ร่างกายกำยำเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

 

Sponsored Ad

 

    ไม่ว่าจะวันไหน ฤดูไหนเขาก็จะตื่นนอนและออกจากบ้านเวลาตี 5 เสมอและเลิกงานตอน 5 โมงเย็นทุกวัน ทำงานแบกสินค้าหนักแบบนี้ทุกวันไม่มีเปลี่ยน ใช้ร่างกายแบกรับของหนัก เขาจะต้องถอดเสื้อออกเพื่อไม่ให้กระสอบลื่นไหลตกลงมา บางครั้งกระสอบสินค้าหนักถึง 200 กิโลกรัมก็มีมาแล้ว เดินขึ้นจากชั้น 1 ถึงชั้น 10 ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อแลกรค่าแรง 10 หยวน (ประมาณ 47 บาท) ผ่านมา 10 กว่าปีค่าแรงเพิ่มขึ้นเพียงนิดหน่อย ค่าซุปบะหมี่เนื้อวัวของท้องถิ่นก็เพิ่มราคาตามไปด้วย เป็นถ้วยละ 17 หยวน (ประมาณ 79 บาท)

 

Sponsored Ad

 

    นี่คือภาพที่ถูกบันทึกถ่ายเก็บไว้เมื่อปี 2017 

    เขาพึ่งกำลังแรงกายของตนเองมาหลายสิบปี จนสามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้ในปี 2016 ราคาประมาณ 400,000 หยวน (ประมาณ 1,858,268 บาท) หากคิดจากค่าแรงการแบกกระสอบ โดยกระสอบละ 10 หยวน เขาต้องแบกประมาณ 40,000 กระสอบถึงจะสามารถซื้อห้องชุดเล็กๆนี้ได้ เรื่องราวของเขาทำให้หลายคนประทับใจและยกย่องเขามาก

Sponsored Ad

    ในอดีตงานแบกกระสอบสินค้ามีวัยรุ่นมาทำจำนวนมาก แต่ปัจจุบันนับวันยิ่งน้อยลงทุกที เมื่อก่อนทุกคนจะใช้แรงในการแบก แต่ตอนนี้ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวก บางครั้งก็แบกใส่รถลากไปส่ง 

    นี่คือภาพที่ถูกบันทึกถ่ายเก็บไว้เมื่อปี 2019

    ทุกวันเขาต้องแบกของหนักมากมาย หากนับปีหนึ่งทำงาน 350 วัน ดังนั้น 1 ปีเขาแบกของหนัก 350 ตัน 10 ปีก็แบกไป 3,500 ตันแล้ว

    สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จก็คือ เขาสามารถซื้อบ้านได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาแล้ว

    เขาเริ่มทำงานแบกสินค้าเมื่อตอนอายุ 20 ปี แถวตลาดในหมู่บ้านก่อน จากนั้นก็ย้ายเข้าเมืองใหญ่ มาทำงานแบกสินค้าในตลาดเฉาเทียนเหมิน ทำอาชีพมาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา 

    ในปี 2015 เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ๆ เขาเช่าห้องเล็กใกล้ๆแถวนั้น แต่ปัจจุบันโดนรื้อถอนไปหมดแล้ว 

    นี่คือภาพที่ถูกบันทึกถ่ายเก็บไว้เมื่อปี 2015 

    ขณะที่ยังอาศัยในห้องเช่าเล็กๆ พื้นที่แคบมาก จากตอนแรกราคาห้องเช่า 100 หยวน (ประมาณ 464 บาท) ตอนนี้เพิ่มเป็น 400 หยวนแล้ว (ประมาณ 1,858 บาท) เจ้าของห้องเช่าบอกว่าจะขึ้นราคาอีก เขาต้องกัดฟันทำงานหนักมากขึ้น เก็บออม จนกระทั่งเมื่อปี 2016 เขาก็ได้ตัดสินใจซื้อบ้านห้องชุดเล็กๆ ภาระหน้าที่ทางการเงินก็หนักมากขึ้นกว่าเดิม เขาวางเงินดาวน์บ้าน 400,000 หยวน (ประมาณ 1,858,268 บาท) จากนั้นก็ค่อยๆผ่อนจ่ายไป

    นี่คือภาพที่ถูกบันทึกถ่ายเก็บไว้เมื่อปี 2019

    ห้องชุดที่เขาซื้อนี่เป็นน้ำพักน้ำแรงของเขา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองจะทำได้ ซื้อบ้านในย่านธรุกิจได้ ระยะทางจากบ้านของเขาไปถึงตลาดที่เขาทำงานห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร แม้จะเล็ก แต่พอทำความสะอาดก็น่าอยู่มาก เป็นบ้านมือสอง อาจจะไม่ใหม่มาก แต่ก็ดีกว่าบ้านเช่าที่พวกเขาเคยอยู่ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเขาสองพ่อลูกแล้ว

    ลูกชายก็โตขึ้นทุกวัน เมื่อได้เห็นลูกเติบโตมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

    เมื่อเขาเริ่มแก่ตัวลง อายุ 50 กว่าปีแล้วก็เริ่มแบกของหนักมากไม่ไหว ปัญหาหลักของเขาตอนนี้ก็คือปวดหลังมาก บางครั้งถ้าปวดมากๆก็จะต้องเดินช้าๆ จากที่คนธรรมดาเดิน 20 นาที เขากลับต้องเดิน 1 ชั่วโมงครึ่ง

    เขาจะไปหาหมอน้อยมาก ถ้าไม่สบายได้ออกเหงื่อก็จะหายไปเอง แต่ถ้าปวดหลังต้องไปฝังเข็ม ทำการบำบัดรักษานานครึ่งเดือน แล้วก็กลับมาแบกของต่อ

    ยามว่างเขาก็จะไปนั่งเล่นไพ่สังสรรค์กับเพื่อนๆบ้าง หรือบางทีหากมีงานก่อสร้างเก็บกวาดก็จะไปทำ

    เขาบอกว่าตลอดชีวิตนี้ เขาใช้ชีวิตแบบประหยัดมาก ไม่ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า รีบกลับบ้านดูแลลูกหลังเลิกงาน เขาบอกว่ายิ่งตอนนี้เศรษฐกินไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้รายได้ลดลง จึงต้องหาเวลาไปรับงานอย่างอื่นด้วย 

    ที่คือภาพที่ถูกบันทึกไว้ในปี 2013 นายรานเริ่มเป็นที่รู้จักในปี 2010 ตอนนั้นลูกชายยังเล็กเพิ่ง 3 ขวบ เขาต้องดูแลลูกไปด้วยทำงานไปด้วย จึงทำให้เกิดภาพที่เขาจูงมือลูกชายเดินลงบันได นายรานเล่าว่า นั้นคือกิจวัตรประจำวันที่เขาทำกับลูกในตอนนั้น พาลูกไปที่ทำงานด้วย

    และเพราะภาพนี้ทำให้เขามีแรงสู้เพื่อลูกชาย เป็นภาพแห่งความทรงจำเลยก็ว่าได้

    ในปี 2017 พ่อลูกนั่งทำการบ้านในห้อง เป็นภาพที่อบอุ่นยากจะลืมเลือน ลูกชายบอกว่า เขาภาคภูมิใจในตัวพ่อมาก นายรานบอกว่า เรื่องเรียนของลูก เขาไม่งกเลยสักนิด ยอมทุ่มเพื่อให้ลูกได้เรียนและใช้สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ขอเพียงลูกตั้งใจเรียน อยากเรียนอะไรเขาจะหามาให้ทั้งหมด

    ปัจจุบันลูกชายก็จะมาช่วยเหลือเขาบ้าง แต่บางครั้งเนื่องจากต้องเรียนจนดึกดื่น ทำให้ไม่มีเวลาได้ไปช่วยเขา นายรานบอกว่า "หากลูกเรียนหนักก็จะเคาะประตูห้องลูกชาย อย่างน้อยได้เห็นหน้าทุกวันก็ชื่นใจแล้ว การที่ลูกมีการเรียนที่ดี ก็เป็นความภาคภูมิใจของคนเป็นพ่อแล้้ว"

    นายรานบอกว่า เหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุข เพราะอยากเห็นลูกชายได้ดี ไม่ต้องมาทำงานหนักเหมือนตนเอง

    ลูกชายของเขาบอกกับช่างภาพชวี่คังผิงว่า "พ่อของผมเป็นยอดมนุษย์ เป็นผู้ชายที่เก่งมากในสายตาของผม เขาเป็นยิ่งกว่าฮีโร่ เขาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอับอายเลย แต่กลับภาคภูมิใจในอาชีพของพ่อมาก ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้ ผมจะไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวัง ผมจะตั้งใจเรียนเพื่อเป็นอีกแรงมาช่วยพ่อ ความฝันของผมคือ อยากเป็นที่พึ่งให้พ่อได้ปลดเกษียณเร็วๆ จะได้พักผ่อนบ้าง ชีวิตนี้พ่อลำบากมาทั้งชีวิตแล้ว"

    ในปี 2019 พ่อลูกได้กลับไปยืนตรงบันไดที่เดิม และถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้ง หลายปีที่ผ่านมานี้นายรานลำบากมาก ช่างภาพจึงทิ้งคำถามไว้ให้พวกเขาว่า "นายราน นายจะทำงานนี้ไปอีกนานแค่ไหน?"

    นายรานตอบว่า "ประมาณอีก 10- 15 ปีมั้ง รอจนกว่าลูกจะโตและพึ่งตนเองได้" นี่แหละนะที่เขาเรียกว่าความรักอันบริสุทธิ์ที่พ่อแม่มีต่อลูก ไม่หวังอะไรจากลูกมาก แค่ได้เห็นหน้าลูกที่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว

ที่มา:itishealthtime

แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ